tag:blogger.com,1999:blog-6674377078906611652024-03-14T01:03:45.057-07:00Bigbang In My MindThe greatest purpose of this life is to provide a means for attaining liberation and enlightenment. The only way to attain these is by practising Dharma. Among Dharma practices, the supreme practice is training the mind. Therefore, I must practise training the mind now.mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.comBlogger23125tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-51970078985169802012007-08-08T10:10:00.001-07:002012-03-14T06:35:35.593-07:00คำปรารภ Big Bang in My Mind<span style="font-family:arial;">การกล่าวถึง ธรรมชาติของมนุษย์และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับโลกธรรมชาติในสรรพสิ่ง ดูออกจะเป็นเรื่องที่ใหญ่พอควร สำหรับผู้เขียนเองและรวบรวมเรียบเรียงขึ้นมาจากที่ต่างๆ ก่อนที่เราจะสำรวจดูรายละเอียดของทัศนะเกี่ยวกับธรรมชาติในสรรพสิ่งของหนังสือเล่มนี้ ผมจะขอกล่าวในเรื่องส่วนตัวสักเล็กน้อยว่า ก่อนที่ผมจะเริ่มทำงานเขียนหนังสือ “บิ๊กแบงภายในใจ” (Bing Bang In My Mind) เล่มนี้นั้น ผมเคยมีทัศนคติต่อชีวิตที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนมาก่อน มีทัศนคติสายตาที่มองโลกใบนี้อย่างคับแคบ เหมือนกับคนอีกหลายๆคนที่อยู่บนโลกเดียวกันนี้ แต่ผมก็เชื่อว่าทุกๆคนจะมี “การสะดุดคิด” จนมีบางสิ่งที่ทำให้สะดุดคิดได้ ผมว่ามนุษย์เราทุกคนต้องเคยมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราสะดุดในความคิดต่างๆ นานา ด้วยเหมือนกัน การคิดด้วยจิตสำนึกของมนุษย์โดยมีปัญญาจึงมีความหมายต่อตัวเรามาก ชีวิตที่ต้องเวียนว่ายอยู่ในห้วงสังสารวัฎด้วยอำนาจของกรรมและวิบากนี้ เป็นสภาวะที่น่าเบื่อหน่าย ดังนั้น คนที่มีปัญญารู้เท่าทันความจริงของชีวิต และพยายามที่จะทำคนให้หลุดพ้นออกมาจากการเวียนว่ายในห้วงสงสาร วิถีทางในทางพาตัวเองให้หลุดพ้นออกมาจากวงจรชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายนี้ก็ คือ การดำเนินไปตามหลักธรรมคำสั่งสอน คือ ศีล สมาธิ และปัญญา</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">เคยมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า แนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องสังสารวัฏ การเกิดใหม่ การทำกรรม และรับผลของกรรม ตามที่กล่าวมาข้างต้น เป็นแนวคิดพื้นฐานของคนอินเดีย แนวความคิดทำนองนี้ไม่ได้มีเฉพาะในพุทธศาสนาเท่านั้น ศาสนาอื่นที่เกิดร่วมยุคกับพุทธศาสนาก็มีแนวความคิดในการมองชีวิตคล้ายๆ กันนี้ ดังนั้นหากเราจะสรุปว่าทัศนะที่ว่าชีวิตไม่ได้สิ้นสุดที่ความตาย ยังมีภพใหม่ชาติใหม่ที่คนเราสามารถไปเกิดได้อีกหลังจากตายแล้ว และชีวิตในภพใหม่นั้นจะเป็นอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับกรรมที่คนผู้นั้นได้กระทำไว้ก่อนตาย แนวความคิดที่ว่านี้แน่นอนว่าส่วนหนึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อที่ไม่อาจพิสูจน์ให้เห็นจริง กระนั้นความเชื่อดังกล่าวก็มีอิทธิพลต่อคนจำนวนมหาศาลเพราะเป็นความเชื่อร่วมที่คนทั้งหลายมีด้วยกัน คนเราสามารถพาชีวิตตนเองให้ค่อยๆ หักเหออกจากวงจรแห่งกิเลส กรรม และวิบาก จนที่สุดก็สามารถฝ่าไปจนพ้นเด็ดขาดจากวงจรที่ว่านี้ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวกทั้งหลายคือตัวอย่างของคนในอุดมคติดังกล่าวนี้</span><br /><br /><span style="font-family:arial;">หนังสือ บิ๊กแบงภายในใจเล่มนี้ เปรียบเทียบได้กับที่พระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยเกิดบิ๊กแบงภายในใจขึ้นมาที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว และหนังสือเล่มนี้ออกจะเป็นวิชาการสักเล็กน้อย ซึ่งผู้เขียนเองพยายามทำให้เข้าใจง่าย ซึ่งจะกล่าวถึงทุกสรรพสิ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ สิ่งมีชีวิต ประวัติศาสตร์ จักรวาล วิทยาศาสตร์ วิวัฒนาการ ศาสนา ปรัชญา ความเชื่อต่างๆ ฯลฯ เป็นต้น การมองมิติเดียวทำให้เราไม่มีทางออก แต่การมองมิติต่างๆให้เป็นหลายมิติในมุมมองต่างๆนั้น จะทำให้ตัวเรามีทางออกได้และไม่คับแคบใจ เปิดใจกว้างที่จะเข้าใจในสรรพสิ่งทั้งหลายที่มันเป็นไป เพื่อทางออกแห่งความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เพื่อที่จะยอมรับต่อสรรพสิ่ง ไม่ใช่เพื่อจะเอาชนะต่อสรรพสิ่งนี้ เพื่อเกิด “บิ๊กแบงภายในใจ” (Big Bang In My Mind)</span><br /><br /><strong><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:180%;"><span style="color:#ff0000;">Big</span> <span style="color:#33cc00;">Bang</span> <span style="color:#ffcc00;">In</span> <span style="color:#3333ff;">My</span> <span style="color:#cc33cc;">Mind</span></span></span></strong><br /><br /><div><a href="http://1.bp.blogspot.com/---1OqYCo0-0/T2CedEnOSOI/AAAAAAAAHd0/s_LBy08Lx_A/s1600/Untitled-1.jpg"><img style="WIDTH: 129px; HEIGHT: 125px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5719745749052180706" border="0" alt="" src="http://1.bp.blogspot.com/---1OqYCo0-0/T2CedEnOSOI/AAAAAAAAHd0/s_LBy08Lx_A/s200/Untitled-1.jpg" /></a><br /><strong><span style="font-family:arial;">Siriphong P. (ศิริพงศ์ ผการัตน์สกุล)</span></strong><br /><strong><span style="font-family:arial;">Email : </span></strong><a href="mailto:mydjphong@hotmail.com"><strong><span style="font-family:arial;">mydjphong@hotmail.com</span></strong></a><br /><strong><span style="font-family:arial;">Tel : 089-1411002</span></strong></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-46597778867798566602007-08-08T08:51:00.001-07:002012-03-14T06:41:25.404-07:00หัวข้อต่างๆของหนังสือ บิ๊กแบงภายในใจ<span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#33cc00;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/-xe0Izlj9_Nk/T2Cfq0LuCkI/AAAAAAAAHek/Xew7PzNQzSg/s1600/big%2Bbang%2Bin%2Bmind%2Bmy%2B4.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; FLOAT: left; HEIGHT: 150px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5719747084671650370" border="0" alt="" src="http://4.bp.blogspot.com/-xe0Izlj9_Nk/T2Cfq0LuCkI/AAAAAAAAHek/Xew7PzNQzSg/s200/big%2Bbang%2Bin%2Bmind%2Bmy%2B4.jpg" /></a>1. ว่าด้วยเรื่องการเข้าใจในสรรพสิ่ง</span></strong>
<br />- </span><a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/it-s-my-life.html"><span style="font-family:arial;">ชีวิต it’s my life</span></a><span style="font-family:arial;">
<br />- </span><a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_5102.html"><span style="font-family:arial;">ประตูแห่งการรับรู้</span></a><span style="font-family:arial;">
<br />- </span><a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_3071.html"><span style="font-family:arial;">การเวลาของธรรมชาติในสรรพสิ่ง (การซ้อมเหลื่อมแห่งเวลา)</span></a><span style="font-family:arial;">
<br />- </span><a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_5518.html"><span style="font-family:arial;">ศาสนากับธรรมชาตินิยม</span></a><span style="font-family:arial;">
<br />- </span><a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_6789.html"><span style="font-family:arial;">ปริศนาจิตวิญญาณมนุษย์</span></a><span style="font-family:arial;"> </span><span style="font-family:arial;">
<br />
<br /></span>
<br />
<br /><span style="font-family:arial;"></span>
<br /><span style="color:#33cc00;"><strong><a href="http://1.bp.blogspot.com/_vthUY0IpFuA/RroEK4KFMyI/AAAAAAAABic/0I3k7aA5OyI/s1600-h/big+bang+in+mind+my+2.jpg"></a><a href="http://2.bp.blogspot.com/-unRarOSgPu4/T2CfqcBen_I/AAAAAAAAHeY/1RjdqpSeoGM/s1600/big%2Bbang%2Bin%2Bmind%2Bmy%2B3.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; FLOAT: left; HEIGHT: 150px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5719747078186246130" border="0" alt="" src="http://2.bp.blogspot.com/-unRarOSgPu4/T2CfqcBen_I/AAAAAAAAHeY/1RjdqpSeoGM/s200/big%2Bbang%2Bin%2Bmind%2Bmy%2B3.jpg" /></a>2. ว่าด้วยเรื่องการรู้ทันในสรรพสิ่ง</strong>
<br /></span>- <a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_4532.html">ประวัติศาสตร์มนุษย์</a>
<br />- <a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_6854.html">มูลเหตุของการเกิดศรัทธาและศาสนา</a>
<br />- <a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_175.html">สังคมที่มั่งคั่งในยุคบริโภค / จิตใจที่มั่งคั่งในยุคบริโภค</a>
<br />- <a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_9704.html">เราเป็นได้แค่ผู้บริโภคหรือเราสามารถเป็นได้มากกว่านั้น</a>
<br />- <a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_9311.html">วิทยาศาสตร์กับศาสนา จุดต่างหรือจุดเหมือน</a>
<br /></span>
<br />
<br />
<br />
<br /><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#33cc00;"><a href="http://4.bp.blogspot.com/_vthUY0IpFuA/RroECoKFMxI/AAAAAAAABiU/Qhg6X-WZ6c4/s1600-h/big+bang+in+mind+my+3.jpg"></a><a href="http://1.bp.blogspot.com/-NdZOU3k6dwE/T2CfqG2-W3I/AAAAAAAAHeM/07835wVuxzY/s1600/big%2Bbang%2Bin%2Bmind%2Bmy%2B2.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; FLOAT: left; HEIGHT: 150px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5719747072505043826" border="0" alt="" src="http://1.bp.blogspot.com/-NdZOU3k6dwE/T2CfqG2-W3I/AAAAAAAAHeM/07835wVuxzY/s200/big%2Bbang%2Bin%2Bmind%2Bmy%2B2.jpg" /></a>3. ว่าด้วยเรื่องการเข้าถึงในสรรพสิ่ง</span></strong>
<br />- <a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_5074.html">จิตจักรวาลสะท้อนปัญญา</a>
<br />- <a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_4642.html">ความสุขเสมอด้วยความสงบไม่มีด้วย</a>
<br />- <a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_8075.html">ทางเดินของชีวิตเพื่อกำเนิดบิ๊กแบงภายในใจ</a>
<br />- <a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_5867.html">ใจอยู่ในกายหรือกายอยู่ในใจ (ทางเลือกหลุมดำหรือบิ๊กแบง)</a>
<br />- <a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_7271.html">สิ่งที่เล็กย่อมเป็นสิ่งที่ใหญ่ได้ สิ่งที่ใหญ่ย่อมเป็นสิ่งที่เล็กได้</a>
<br />
<br />
<br /></span>
<br />
<br /><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#33cc00;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/_vthUY0IpFuA/RroD34KFMwI/AAAAAAAABiM/UiBU8EUFTzI/s1600-h/big+bang+in+mind+my+4.jpg"></a><a href="http://1.bp.blogspot.com/-1OmKFA-LnxQ/T2Cfp5Sf3LI/AAAAAAAAHeA/d4MIRPUZBlw/s1600/big%2Bbang%2Bin%2Bmind%2Bmy%2B1.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; FLOAT: left; HEIGHT: 150px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5719747068862389426" border="0" alt="" src="http://1.bp.blogspot.com/-1OmKFA-LnxQ/T2Cfp5Sf3LI/AAAAAAAAHeA/d4MIRPUZBlw/s200/big%2Bbang%2Bin%2Bmind%2Bmy%2B1.jpg" /></a>4. ว่าด้วยเรื่องการเป็นส่วนหนึ่งในสรรพสิ่ง</span>
<br /></strong>- <a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_1983.html">จักรวาลที่มีบิ๊กแบงจึงเกิด</a>
<br />- <a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_790.html">ธรรมชาติของจักรวาล</a>
<br />- <a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_8233.html">มิติความสัมพันธ์ของมนุษย์</a>
<br />- <a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_405.html">บิ๊กแบงภายในที่มี อิสรภาพทางใจจึงเกิด</a>
<br />- <a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post_07.html">บิ๊กแบงของจักรวาลภายใน</a>
<br />- <a href="http://bigbanginmymind.blogspot.com/2007/08/blog-post.html">เข้าถึงความคิดนิพพานเข้าถึงบิ๊กแบงภายในใจ - จบ</a></span>
<br /><span style="font-family:Arial;"></span>
<br /><span style="font-family:Arial;"></span>
<br /><span style="font-family:Arial;"></span>
<br /><span style="font-family:Arial;"></span>
<br /><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#cc0000;"><strong>ท่านผู้อ่านท่านใดมีข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุง
<br /></strong><strong><a href="https://www.blogger.com/comment.g?blogID=667437707890661165&postID=4659777886779856660">Please Comments</a></strong></span></span><span style="font-family:Arial;"><a href="https://www.blogger.com/comment.g?blogID=667437707890661165&postID=4659777886779856660"> </a></span>
<br />mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-51772663947806063362007-08-07T03:12:00.000-07:002007-08-08T18:57:37.366-07:00ชีวิต (it ’s my Life)<div align="justify"><span style="font-family:arial;">กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเด็กอยู่สองจำพวกเกิดมาบนโลกสีน้ำเงินใบนี้ เด็กทั้งสองจำพวกเกิดมาเพื่อที่จะเรียนรู้โลกใบนี้จากสิ่งเร้าต่างๆ ที่เกิดขึ้น แตกต่างกันตรงที่ เด็กจำพวกแรกกำเนิดเกิดมาอยู่กับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติมาแต่กำเนิด เด็กอีกจำพวกหนึ่ง กำเนิดมาจากสิ่งแวดล้อมตามธรรมวัตถุมาแต่กำเนิดเช่นเดียวกัน “เด็กทั้งสองจำพวกเกิดมามีสิ่งเร้าให้เรียนรู้” เด็กที่เกิดมาจากสิ่งแวดล้อมตามธรรมวัตถุจะเกิดสิ่งเร้าขึ้นจากภายนอกของความสงสัย ส่วนเด็กที่เกิดมาจากสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติจะเกิดสิ่งเร้าขึ้นจากภายในของความแปลกใจ ทัศนะคติของเด็กสองจำพวกนี้จึงต่างกัน </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#999999;">- เด็กที่เกิดมาจากสิ่งแวดล้อมตามธรรมวัตถุจะเกิดสิ่งเร้าจากภายนอก</span></strong> เกิดความสงสัยในสิ่งต่างๆที่มีต่อโลกใบนี้ว่า โลกใบนี้มีสิ่งให้เราน่าเรียนรู้อยู่ตลอดเสียเหลือเกิน มีโทรทัศน์ให้ติดตามข่าวสารได้ทั่วโลก มีสิ่งประดิษฐ์ต่างๆมากมายให้เราได้เรียนรู้ มีนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่ตลอดให้เราอยากที่จะค้นหาและทำความรู้จักเมื่อเกิดความสงสัย เด็กจึงเกิดการเรียนรู้อยู่ตลอด </div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#999999;">- เด็กที่เกิดมาจากสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติจะเกิดสิ่งเร้าจากภายใน</span></strong> เกิดความแปลกใจในสิ่งต่างๆ ที่มีต่อโลกใบนี้ว่า แปลกจริงหนอ? “ทำไมมีโลกขึ้นมาได้” โลกคืออะไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร? มีมาจากอะไร? และมีมาเพื่ออะไร? เมื่อความแปลกใจเกิดขึ้นเด็กก็เริ่มที่จะเอาจริงเอาจังและเริ่มกระบวนการคิดอย่างมีระบบระเบียบเพื่อหาคำตอบในสิ่งที่สงสัย </div><div align="justify"><br />นี่เป็นเพียงอุปมาอุปมัยเท่านั้น เพื่อที่ผู้อ่านพอจะแยกแยะทัศนคติของความสงสัยได้บ้างเล็กน้อย มนุษย์เราไม่ว่าจะอยู่ใดก็สามารถที่จะเรียนรู้และคิด สงสัยและแปลกใจ ได้ควบคู่กันไป แต่คนเราส่วนมากมักจะสงสัยและเรียนรู้จากภายนอกมากกว่าที่จะเรียนรู้จากภายใน เพราะปัจจุบันนี้มีสิ่งเร้าจากภายนอกมากมายจนเราลืมที่จะเรียนรู้จากภายในตัวเราเอง เราอาจจะรู้สึกตัวเองได้จากภายในก็ตอนที่เราได้อยู่คนเดียวนานๆ หรือได้ไปเที่ยวตามธรรมชาตินั้นแหละ ได้เห็นธรรมชาติหรือทิวทัศน์ที่สวยงาม เราถึงจะเกิดความแปลกใจหรือความรู้สึกลึกๆ จากภายในขึ้นมา </div><div align="justify"><br />ชีวิตคืออะไร ชีวิตเกิดจากอะไร ชีวิตจะสิ้นสุดลงอย่างไรและเมื่อใด นั้นเป็นปัญหาที่เรามักจะขบคิดอยู่เสมอ เป็นปัญหาทางปรัชญาคลาสสิกที่บรรพบุรุษของเราได้ขบคิดกันมากว่าพันๆปีแล้ว ชีวิตไม่ใช่สิ่งที่อยู่ห่างไกลตัวเรา ชีวิตเป็นนามธรรมและรูปธรรมในขณะเดียวกัน นั่นก็คือการที่เรากำลังเห็นอยู่นี้มิใช่ชีวิตหรอกหรือ การคิดการนึกถึงสิ่งที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส และสัมผัส มิใช่ชีวิตหรอกหรือ เรามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรารับรู้อารมณ์ต่างๆ ทางประสาทสัมผัส ทั้งนี้ ประสาทสัมผัสย่อมเกิดเนื่องมาจากอารมณ์เหล่านั้น นี่คือชีวิตในขณะนี้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราด้มีชีวิตมาแล้วในอดีตและจะมีชีวิตต่อไปในอนาคต สืบเนื่องกันไปในทุกสรรพสิ่งของสิ่งมีชีวิต </div><div align="justify"><br />ชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร มีเบื้องต้นของการเกิดนี้ขึ้นมาอย่างไร เราย้อนกลับไปหาอดีตไม่ได้แต่เราสามารถที่จะศึกษาจากอดีตได้ ถ้าเราใคร่จะรู้ว่าชีวิตของเรานั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เราก็ควรจะรู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดสิ่งมีชีวิตนี้ขึ้นมาด้วยในขณะนี้ ขณะที่กำลังเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส ทำไมเราเกิดมามีอุปนิสัยต่างกัน และมีบุคลิกภาพต่างกันมากมาย และรูปร่างลักษณะที่ต่างกันตามสังคมของภูมิศาสตร์โลกเรานี้ </div><div align="justify"><br />จุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิตบนโลกเรานี้ได้เริ่มเป็นปัญหาสำคัญและเป็นสิ่งที่สนใจกันมาก ตั้งแต่การค้นพบว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเกิดมาจากจุลินทรีย์ นักปราชญ์โบราณเคยแก้ปัญหากันอย่างง่ายๆ เช่น ลูเครตีอุส (กวีโรมัน) ได้ให้คำตอบว่า ชีวิตเกิดขึ้นเอง เกิดจากก้อนดินธรรมดานี้แหละที่มีความชื้นและความอบอุ่นจนเกิดชีวิตประเภทต่างๆขึ้นมาในสมัยใหม่นี้เอง ทีแรกก็ยังเชื่อกันว่าอาจจะทดลองให้ชีวิตเกิดขึ้นเองในหลอดแก้วได้ (เป็นทฤษฏีบริสุทธิ์) โดยให้ลองตักน้ำจากบ่อมาสักเล็กน้อยตากแดดให้อุ่นไว้ ไม่ช้าก็จะเห็นสิ่งมีชีวิตเต็มไปหมด คราวนี้ลองเอาน้ำมาต้มเสียก่อนเพื่อให้แน่ใจว่า ได้ฆ่าสิ่งมีชีวิตหมดสิ้นแล้ว นำไปผึ่งแดดให้อุ่น ก็ยังจะมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นให้เห็นอยู่ดี คราวนี้ทดลองซ้ำใหม่ ให้อุดปากหลอดแก้วให้แน่นด้วยสำลี เพื่อกันมิให้สิ่งมีชีวิตอื่นที่อาจล่องลอยอยู่ในอากาศตกลงไปในน้ำได้ จะเห็นว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นเลย เป็นอันว่าปัญหาถกเถียงกันเรื่องสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นเองได้หรือไม่ ก็เป็นอันยุติลง </div><div align="justify"><br />นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า การค้นคว้าทางทฤษฏีบริสุทธิ์นั้นเกิดผลดีในทางปฏิบัติเพียงไร ทำให้เรารู้เรื่องเชื้อโรค รู้วิธีรักษาอนามัย รู้จักผ่าตัดไม่ให้อักเสบและติดเชื้อ นับว่าส่งเสริมสวัสดิการของมนุษย์เราอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง แต่นักค้นคว้านักวิทยาศาสตร์พวกนี้ มุ่งหน้าหาความรู้ใหม่ๆเกี่ยวกับเชื้อโรค และการกำจัดเชื้อโรค พวกเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ หาความรู้เพื่อรู้เท่านั้น กับอีกจำพวกหนึ่งที่สนใจในปัญหาเดียวกันเขาสนใจในกำเนิดของสิ่งมีชีวิต สนใจว่าชีวิตคืออะไร ชีวิตเกิดขึ้นได้อย่างไร และที่สำคัญต่อคำถามที่ว่า “ชีวิตมีความหมายอย่างไร” เคยมีการแบ่งเกี่ยวกับคำตอบเรื่องชีวิตแรกนี้ไว้ ๓ แนวด้วยกัน คือ </div><div align="justify"><br /></span><strong><span style="font-family:arial;">๑. เชื้อชีวิตแรกอาจจะล่องลอยมาในอวกาศจากโลกอื่น<br />๒. พระเจ้าสร้างขึ้นบนโลกของเราเอง<br />๓. ชีวิตเกิดขึ้นเองบนโลกของเราโดยวิวัฒนาการของอนินทรีย์สาร</span></strong></div><div align="justify"><br /><span style="font-family:arial;">คำตอบแรกเมื่อพิจารณาตามทฤษฏีแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะชีวิตอาจจะล่องลอยมาในอวกาศจากดาวเคราะห์หรือดาวฤกษ์ดวงใดก็ได้ อาจจะมาในรูปเชื้อชีวิตที่เล็กอย่างที่สุดซึ่งอาจจะซ่อนตัวมาตามซอกของลูกอุกาบาศก์ที่ตกลงสู่พื้นโลก นักวิทยาศาสตร์หลายคนพากันเสนอคำตอบนี้ แต่คำตอบนี้ก็ไม่แก้ปัญหาได้จริง เพราะถ้าเป็นจริงเช่นนั้น ปัญหาก็จะถูกซัดทอดไปให้โลกอื่นอีกต่อไป นั่นคือปัญหายังมีต่อไปได้อีกว่า ชีวิตแรกในดาวที่มีชีวิตเป็นแห่งแรกเลยทีเดียวนั้น มาจากไหน เป็นอันว่าคำตอบแรกนี้เราข้ามไปได้เลยเพราะจะสาวกันไปไม่รู้จบ </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />คำตอบที่สองว่าพระเจ้าสร้างชีวิตขึ้นมานั้น คำตอบนี้เราจะรับฟังได้แค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะตีความหมายการสร้างอย่างไร เรามักจะชอบคิดกันว่า อยู่มาวันหนึ่ง และ ณ ที่แห่งหนึ่งในอวกาศพระเจ้าทรงประกาศิต (โอม..!) ชีวิตก็เกิดขึ้นในบัดดล ถ้าตีความหมายแบบนี้ นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายก็จะพากันเมินหน้าหนีไป เพราะพวกเขาเคยแต่มองหาระเบียบแบบแผน และการสืบเนื่องกันในงานของธรรมชาติ ถ้าหากตีความหมายว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างชีวิต แต่ทั้งนี้พระองค์ทรงบันดาลให้ค่อยเป็นค่อยไปตามวิถีของธรรมชาติ ความเห็นนี้ก็น่าจะรับไว้พิจารณาได้ </div><div align="justify"><br />คำตอบที่สามว่า ชีวิตเกิดขึ้นเองบนโลกของเราโดยวิวัฒนาการของอนินทรีย์สาร ความคิดเห็นนี้นักชีววิทยาถือกันโดยทั่วไป แม้ว่าข้อสนับสนุนยืนยันต่าง ๆ นา ๆ ที่ใช้พิสูจน์ว่าอินทรีย์สาร มาจากอนินทรีย์สาร แต่ก็ยังไม่เด็ดขาดจากชนิดที่ว่าหาข้อโต้แย้งไม่ได้ การทดลองในห้องทดลองก็ยังชี้อยู่เสมอว่า ชีวิตต้องมาจากสิ่งที่มีชีวิต แต่ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว อาจจะมีสภาพแวดล้อมอะไรสักอย่างที่ทำให้อนินทรีย์สาร กลายมาเป็นอินทรีย์สารขึ้นมาได้ เหตุการณ์นี้อาจจะเคยเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่ง ทุกวันนี้ยังอาจจะเกิดขึ้นอยู่อีกก็ได้ กล่าวคือการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมต่างๆ เป็นต้น <em><span style="font-size:85%;">(ส่วนหนึ่งที่มา : ปรัชญาเบื้องต้น กีรติ บุญเจือ แปลจาก G.T.W. Patrick / Introduction to Philosophy ๑๙๓๘)</span></em> </div><div align="justify"><br />ดังที่กล่าวมานี้มันเป็นคำถามต่อปัญหาภายนอก แต่คำถามต่อปัญหาภายในที่ว่า “ชีวิตมีความหมายอย่างไร” มีความสำคัญยิ่งกว่า เพราะมันเป็นอยู่สำหรับเราทุกวันนี้ในตัวเรานี้ ถ้าเราหันหลังให้วิทยาศาสตร์ แล้วหันมาสนใจ ศึกษาจากประสบการณ์ของตัวเราเองดูบ้างแล้ว จะพบว่ายังมีอีกเอกภพหนึ่งที่แตกต่างกับที่กล่าวมาแล้วเป็นคนละแบบเลยทีเดียว นั่นก็คือ โลกของสิ่งที่มีชีวิตอันเป็นดินแดนมหัศจรรย์อย่างแท้จริง ที่เต็มไปด้วยชีวิตและปัญญา โลกที่สร้างสรรค์รูปแบบใหม่ๆ ชนิดใหม่ๆ และประดิษฐ์กรรมใหม่ๆ อยู่เสมอ โลกที่มีการเติบโตและพัฒนา ที่มีสิ่งที่กำหนดการกระทำของตัวเองโดยสำนึก มีความคิดและความรู้สึก จำอดีตได้ และใฝ่ฝันอนาคตได้ มีอุดมการณ์ได้ รู้จักร่วมมือกันเป็นกลุ่มก้อน โลกที่มีความคิดไตร่ตรอง ศิลปะ ปรัชญา วรรณคดี ดนตรี โลกที่มีจุดหมายและมีคุณค่า โลกแห่งประสบการณ์ของเราทั้งหมดที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาเช่นนี้จะมีความเป็นจริงน้อยกว่าโลกที่เป็นหลักการความรู้ภายนอกเทียวหรือ... </div><div align="justify"><br />ชีวิตของเราเต็มไปด้วยสิ่งที่กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของเรา บางคนก็ไม่เห็นว่าความทุกข์จะลดน้อยลงเมื่อเราทำสิ่งที่ตามอารมณ์ความรู้สึกของเราไปแล้ว เรามีความมุ่งหวังในชีวิตต่างๆกัน เราปรารถนาความสุขกันทุกคน และต่างก็มีทัศนะในเรื่องความสุขและทางที่จะได้รับความสุขต่างกัน และทุกข์ในเรื่องชีวิตประจำวัน เราพยายามที่จะหาทางหนีให้พ้นจากชีวิตประจำวันด้วยวิธีต่างๆนานา บางคนหาความสุขกันแบบต่างๆนานา บางคนก็ดื่มเหล้าหรือเข้าหาแหล่งความบันเทิงที่มีอยู่หลากหลาย เพื่อให้อยู่เสียอีกโลกหนึ่ง หรือให้รู้สึกเหมือนกับเป็นคนอื่น คนที่หนีความจริงจะไม่รู้จักตัวเอง และจะมีชีวิตอยู่ด้วยความไม่รู้ต่อไป จากประสบการณ์ของผมนั้น ผมได้เห็นผู้คนมากมายที่ต้องการหาความสุขใส่ตัว และผู้คนจำพวกนั้นก็มีความสุขกันจริงๆ แต่เป็นความสุขชั่วคราวแล้วก็ต้องกลับมาใหม่เพื่อหาความสุขอีกไม่จบสิ้น ซึ่งลืมฉุกคิดไปว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เราต้องแสวงหาความสุข ว่าแต่ตัวผมเองก็เคยยึดติดในความสุขชั่วคราวมาก่อนนั้นด้วย จนวันหนึ่งมีบางสิ่งที่ทำให้ผมสะดุดคิดได้ ผมว่ามนุษย์เราทุกคนต้องเคยมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราสะดุดคิดได้เหมือนกัน เพียงแต่ตัวเราจะรู้หรือเปล่าหรือสะดุดคิดหรือเปล่า อาจจะมาช้าบ้างเร็วบ้างแตกต่างกันไป แล้วแต่ประสบการณ์ของแต่ละคนที่พบเจอ ความรู้สึกฉุกคิดนี้มีอยู่เฉพาะในจำพวกสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เท่านั้น สิ่งมีชีวิตอื่นๆไม่มีความฉุกคิดนี้เกิดขึ้น มีแต่สัญชาตญาณล้วนๆในการเอาตัวรอดดำเนินชีวิตไป ซึ่งการฉุกคิดนี้อาจเรียกได้อีกอย่างว่าคือ “จิตสำนึกของมนุษย์เรา” </div><div align="justify"><br />มนุษย์เราเองนั้น มีศักยภาพในการที่จะคิด ในการที่จะยับยั้ง ในการจินตนาการได้ และที่สำคัญที่สุดมนุษย์เรานั้นมีการเรียนรู้ได้อย่าง “ไม่มีขีดจำกัด” ซึ่งจะกล่าวได้ว่าไม่มีในสิ่งมีชีวิตใดๆในโลกที่จะเป็นอย่างนี้ได้ การเรียนรู้ของมนุษย์จะเรียนรู้ควบคู่ไปกับสัญชาตญาณ มนุษย์เรานี้มีการคิดอยู่ตลอดเวลา มีการวิเคราะห์ มีการนึกคิดว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร พอใจอะไร ไม่พอใจอะไร หรือไม่รู้สึกกับอะไรเลย ทั้งหมดกระทำโดยมีสัญชาตญาณเข้ามาควบคู่กันไป ซึ่งจะหล่อหลอมรวมกันเป็นตัวเราจนกระทั่งกลายเป็น บุคลิกภาพส่วนตัวของเรา โดยมีปัจจัยทางสังคม ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เป็นตัวทำให้เราเปลี่ยนแปลง และบุคลิกภาพส่วนตัวของเรานี้สามารถที่จะฝึกได้ </div><div align="justify"><br />หนังสือเล่มนี้จะเน้นในเรื่องของการเรียนรู้ แต่ไม่ได้มีความมุ่งหมายเพื่อที่จะให้รู้เพียงอย่างเดียว ว่า เอ่ย! ฉันรู้น่ะ ฉันรู้เรื่องนี้น่ะ...มันเหมือนกับการเรียนรู้เพื่อประดับตัวเราเท่านั้น เหมือนเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านให้สวยงามแต่เราไม่ได้อยู่อาศัย แต่จะเป็นการเรียนรู้เพื่อให้คิด ให้ควบคุม และเพื่อการพัฒนาตัวเรา และก็เช่นกันไม่ได้เน้นให้ควบคุมตัวเราหรือพัฒนาตัวเราทางร่างกาย แต่จะเน้นจากภายใน ควบคุมการคิด การควบคุมสัญชาตญาณภายในตัวเรา เพื่อเกิดการพัฒนาจากภาพในไม่ใช่จากภาพภายนอก คนเราส่วนใหญ่มักจะเรียนรู้จากภายนอกตัวเรา กล่าวคือเช่น การพัฒนาทางร่างกาย หลายคนก็จะเข้าฟิตเนตกันหรือไปออกกำลังกายเพื่อการพัฒนาศักยภาพของร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี (ถึงปัจจุบันนี้จะกลายเป็นเรื่องของแฟชั่นไปบ้างแล้วก็ตาม) และในเรื่องของความคิด หลายคนมักจะเรียนรู้และพัฒนาความคิดจากภาพนอก กล่าวคือเราจะทำอย่างไรเพื่อที่จะมีอำนาจ เราจะทำอย่างไรเพื่อที่จะได้มา เราจะทำอย่างไรเพื่อที่จะรวย เราจะทำอย่างไรเพื่อที่จะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ เราก็จะคิด คิดไปต่างๆนานา หาวิธีการดังจะเห็นได้ว่ามีหนังสือตามร้านที่ขายกันอย่างมากมายเพื่อการพัฒนาตัวเรา แต่เป็นการพัฒนาจากภาพนอกตัวเองซะส่วนใหญ่ มีหนังสือไม่มากนักที่จะมีการพัฒนาจากภาพภายในตัว (ซึ่งความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ก็จะผลักไปให้เป็นเรื่องของศาสนา) ไม่ต้องอื่นไกลตั้งแต่เราเกิดมา การเรียนรู้จากสถาบันการศึกษาทั่วไปส่วนใหญ่จะเป็นการเรียนรู้จะภาพภายนอกทั้งสิ้น เป็นการเรียนรู้เพื่อเข้าไปสู่ระบบกลไกในทางเศรษฐกิจระบบกลไกของสังคมในยุคบริโภคและวัตถุนิยม จนเกิดปัญหาดังเช่นในปัจจุบันนี้ที่มีคนว่างงานเป็นจำนวนมากหลังจากจบการศึกษามาแล้วทุกๆปี มีนักศึกษาหลายคนที่ผมเคยคุยด้วย หลังจากจบการศึกษามา ผมถามไปว่า จะทำอย่างไรต่อไปหลังจบมาแล้ว ซึ่งมันก็เป็นปัญหาต่อมาของนักศึกษาหลายคน ซึ่งก่อนหน้านั้นปัญหาของนักศึกษาก่อนจบจะมีอยู่ว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะเรียนจบได้ ซึ่งหลังจากเรียนจบปัญหาที่ตามมาก็อย่างที่บอก “จะทำอย่างไรถึงจะมีงานทำ” (และที่ดีด้วย) กล่าวคือการศึกษาในยุคปัจจุบันนี้ มักจะมุ่งไปที่ระบบและโครงสร้างทางการศึกษามากเกินไป จนยากที่จะจัดการศึกษาให้เกิดความเป็นไทได้ กล่าวคือ นักศึกษามัวแต่ใช่เวลาให้หมดไปกับหลักสูตรและการวัดผลการเรียนการสอนจากภาพภายนอก แต่ไม่มีอะไรที่จะวัดระดับจากภายในได้เลย ระบบโครงสร้างจะต้องผลิตบุคลากรให้ไปมีงานทำยิ่งกว่าจะทำให้คนมีมโนธรรมสำนึกจากภายใน ที่เศร้ายิ่งไปกว่านั้นก็ตรงที่ต่อแต่นี้ไป คนที่สำเร็จการศึกษาไปแล้ว ไม่ว่าจะได้ปริญญาในระดับใดๆมา ก็จะว่างงานยิ่งๆขึ้นทุกที และเห็นแก่ตัวมากขึ้น เพราะการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ต้องการใช้คนน้อยลงไปเรื่อยๆ และต้องการแรงงานที่ถูกลงไปเรื่อยๆอีกด้วยเช่นกัน การศึกษาส่วนใหญ่จะเน้นให้จบไปเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างระบบทุนนิยมของสังคม เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกลไกของระบบ </div><div align="justify"><br />การเรียนรู้นี้เราสามารถที่จะเรียนรู้ควบคู่กันไปได้ระหว่าง การเรียนรู้จากภายใน และการเรียนรู้จากภายนอก ไม่ใช่สักแต่เรียนรู้จากภาพภายนอกเพียงอย่างเดียว การเรียนรู้จากภายในเป็นขบวนการเรียนรู้ให้แต่ละคนได้รู้จักศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวเอง เพื่อที่จะได้รู้จักตัวเองและพึ่งตนเองได้ </div><div align="justify"><br />ชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ การที่จะเรียนรู้จักชีวิตนั้นผมจะขอเริ่มจากการเรียนรู้จากภายนอกตัวเราก่อนเพราะเป็นสิ่งที่เราสามารถมองเห็นและจับต้องได้เป็นรูปธรรม ซึ่งแต่ละคนมีกันอยู่แล้วอย่างครบถ้วนแล้วค่อยๆ เริ่มเรียนรู้เข้าไปภายในตัวเรา กล่าวคือ “จิตใจ” </div><div align="justify"><br /><strong>ร่างกาย Body<br /></strong>ร่างกายของมนุษย์มีการจัดระบบเป็น ๔ ระดับด้วยกัน ระดับแรกเป็นระดับที่เล็กที่สุดได้แก่ เซลล์ (cell) จำนวนประมาณ ๗๕-๑๐๐ ล้านล้านเซลล์ แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆได้กว่า ๑๐๐ ประเภทด้วยกัน เซลล์ที่คล้ายคลึงกัน รวมทั้งวัตถุไม่มีชีวิตที่รองรับเซลล์เหล่านั้น ซึ่งเรียกว่า เมทริกซ์ (matrix) จะประกอบกันขึ้นเป็นกลุ่มที่เราเรียกว่าเนื้อเยื่อ (tissue) จะอยู่ในระดับสอง ระดับที่สามนั้น เนื้อเยื่อแต่ละชนิดจะทำหน้าที่ต่างๆกันไป เนื้อเยื่อที่เกี่ยวข้องกันจะรวมกลุ่มกันเป็นอวัยวะ (organ) เพื่อทำงานเฉพาะอย่าง ในระดับสุดท้ายระดับที่สี่ ร่างกายจะมีการรวมกลุ่มอวัยวะต่างๆเพื่อให้ทำงานสัมพันธ์เป็น ระบบ (system) เดียวกัน กลายเป็นร่างกายเรากลายเป็นตัวเราอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นร่างกายโดยรวมก็คือ บรรดากลุ่มของเซลล์ต่างๆ ซึ่งจัดรวมกันอย่างมีระเบียบ และแต่ละกลุ่มก็จะอยู่ในที่ๆกำหนดเพื่อทำหน้าที่เฉพาะอย่างของมัน สรุประดับของร่างกายประกอบด้วย </div><div align="justify"><br />- เซลล์ (cell)<br />- เนื้อเยื่อ (tissue)<br />- อวัยวะ (organ)<br />- ระบบร่างกาย (system)</span></div><div align="justify"><br /><span style="font-family:arial;">ทั้งนี้ผมจะไม่ขออธิบายรายละเอียดต่างๆของระดับร่างกายสี่ระดับนี้ เพราะมันจะเป็นรายละเอียดปลีกย่อยไปอีกมาก ซึ่งจะไม่ตรงประเด็นกับหนังสือที่ผมเขียนนี้ ผู้อ่านที่ใคร่จะรู้ สามารถหาอ่านได้จากตำราที่มีอยู่มากมายได้ </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />ร่างกายเรานั้น ทุกอย่างจะดำรงอยู่อย่างมีเสถียรภาพ อุณหภูมิของร่างกายคนเรานั้นจะคงตัวอยู่ที่ ๙๘.๖ ฟ. (๓๗ ซ.) ไม่ว่าจะอยู่ในเขตหนาวจัดหรือร้อนจัด ความเข้มข้นของน้ำตาลในเลือดจะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก การรักษาสภาพภายในร่างกายให้คงที่แม้ว่า สภาวะภายนอกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตามนั้น เรียกว่า ภาวะคงที่ภายในกาย หรือ ภาวะธำรงดุล (homeostasis) หากในร่างกายไม่มีภาวะธำรงดุล ร่างกายก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมภายนอกและเราก็จะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข เพราะจะต้องแสวงหาสิ่งแวดล้อมที่คงที่อยู่ตลอดเวลา เราถึงต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นที่เป็นสัตว์ดังนี้ ไม่งั้นเราก็คงต้องอพยพเหมือนสัตว์ที่อพยพตามฤดูกาลเป็นอย่างแน่แท้ ภาวะธำรงดุลเกิดขึ้นได้เพราะร่างกายมีกลไกที่คอยควบคุมสภาพภายใน เมื่อใดที่สภาพสมดุลในร่างกายได้รับความกระทบกระเทือนร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง เช่น ร่างกายจะมีอาการสั่นหรือมีเหงื่อออก ทั้งนี้เพื่อปรับอุณหภูมิภายในร่างกายให้สมดุลกับโลกภายนอกนั่นเอง </div><div align="justify"><br />ในแง่ของสสาร ร่างกายมนุษย์ดูเหมือนไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ธาตุต่างๆในร่างกายมนุษย์นั้น สามารถพบได้ในสิ่งต่างๆบนโลกเรานี้ แต่ในร่างกายมนุษย์เรานี้ ธาตุเหล่านี้ประสมกันในลักษณะซับซ้อนเฉพาะตัว สสารสำคัญๆ ที่พบประมาณร้อยละ ๗๐-๘๐ เป็นน้ำสักส่วนใหญ่ แต่ก็มีสสารผสมบางอย่างที่ไม่ปรากฏในสิ่งที่ไม่มีชีวิตอื่นด้วย นอกจากน้ำแล้ว ยังมีสสารโปรตีนอยู่ร้อยละ ๑๐-๒๐ ตามด้วยเกลือแร่อันเป็นส่วนผสมของ โลหะ กับ อโลหะ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต (แป้งและน้ำตาล) และกรดนิวคลิอิก (nucleic acidic) ซึ่งได้แก่ ดีเอ็นเอ (DNA ย่อจาก deoxy ribonucleic acid) ซึ่งเป็นโปรแกรมหลักของการประกอบสร้างร่างกายและ อาร์เอ็นเอ (RNA ย่อจาก ribonucleic acid) ซึ่งจะเป็นตัวสานต่อให้ร่างกายพัฒนาไปตามโปรแกรมหลักของ DNA แต่ที่น่าสนใจก็ คือ ร่างกายไม่ใช่ระบบทางเคมีที่ตายตัว แต่จะมีพลวัตปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เพราะมีการจัดระบบที่ดีเสริมการออกแบบที่น่าอัศจรรย์ กล่าว คือ อวัยวะต่างๆในร่างกายสามารถเสริมสร้างตนเองเจริญเติบโต มีการรับรู้และตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ มีระบบควบคุมและซ่อมแซมส่วนต่างๆได้เป็นอย่างดีนอกจากนี้ร่างกายยังสามารถสืบพันธุ์เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของสิ่งมีชีวิต </div><div align="justify"><br />ทำไมชีวิตของคนเราเกิดมาจึงมีลักษณะหน้าตาหรือร่างกายคล้ายกันกับผู้ที่ให้กำเนิด ในศตวรรษที่ ๒๐ นี้เองที่นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดลูกจึงมักจะมีส่วนเหมือนพ่อแม่ เหตุผลก็คือ พ่อแม่จะถ่ายทอดหน่วยพันธุกรรมให้แก่ลูก หน่วยเหล่านี้จะบรรจุด้วยข้อมูลคำสั่งซึ่งเป็นตัวกำหนดคุณลักษณะต่างๆของคน ในนิวเคลียสของเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายจะมีสิ่งที่เรียกว่า โครโมโซม (Chromosome) ซึ่งประกอบด้วยหน่วยพันธุกรรม หน่วยพันธุกรรมประกอบด้วยกรดดีเอ็นเอ เรียงกันเป็นเส้นยาว เซลล์แต่ละเซลล์จะบรรจุดีเอ็นเอ ยาวถึง ๑.๘ เมตร หากนำดีเอ็นเอทั้งหมดในร่างกายของคนคนหนึ่งมาเรียงเป็นเส้น ก็จะได้เส้นยาวถึง ๒๗,๐๐๐ ล้านกิโลเมตร เส้นที่บางเบาน่าอัศจรรย์ สมมติถ้าจะวัดก็จะได้ระยะทางจากโลกไปถึงดวงอาทิตย์ได้อย่างสบายๆ </div><div align="justify"><br />กระบวนการถ่ายทอดพันธุกรรม เริ่มต้นจากที่อัณฑะของเพศผู้และของเพศหญิงในรังไข่ โดยอวัยวะเหล่านี้สร้างเซลล์สืบพันธุ์ คือ ตัวอสุจิของเพศชาย และไข่ของเพศหญิง พ่อแม่จะถ่ายทอดพันธุกรรมให้แก่ลูกทางเซลล์สืบพันธุ์ โดยทั่วไปเซลล์ของมนุษย์ประกอบด้วย ๔๖ โครโมโซม แต่เซลล์สืบพันธุ์นั้นเมื่อกลายสภาพเป็นตัวอสุจิหรือไข่แล้ว ตามกระบวนการแบ่งตัวแบบไมโทซิส จะเหลือโครโมโซมเพียงครึ่งเดียวคือ ๒๓ โครโมโซม ในอสุจิและไข่ เมื่อมีการปฏิสนธิเกิดขึ้น ตัวอ่อนจะกลับมีจำนวน ๔๖ โครโมโซมอีกครั้งหนึ่ง โดยได้รับหน่วยพันธุกรรมจากพ่อแม่ฝ่ายละครึ่ง สรุปง่ายๆว่า ที่เราเกิดมานี้มีส่วนที่ได้มาจากพ่อและแม่เราอย่างละครึ่งนั่นเอง ถ้ามีใครมาถามเราว่า นี่เราหน้าคล้ายพ่อน่ะ นี่เราหน้าคล้ายแม่น่ะ เราได้ส่วนไหนจากพ่อและแม่มากกว่ากันล่ะ เราตอบได้อย่างภาคภูมิใจเลยว่าได้มาอย่างละครึ่งจากพ่อแม่นั่นแหละ... บางท่านเข้าใจผิดว่า เราเกิดมาเป็นชายคงได้เชื้อจากพ่อมากกว่า หรือเราเกิดมาเป็นหญิงเราคงได้เชื้อจากแม่มากกว่า นั่นมันเป็นเรื่องของการจับคู่กันระหว่างโคโมโซม (XYของชาย) และ (XX ของหญิง) ซึ่งมันก็เป็นรายละเอียดปลีกย่อยต่อไปอีก นอกประเด็นของหนังสือเล่มนี้ ผู้อ่านที่ใคร่สนใจก็หาอ่านได้จากตำราต่างๆ เช่นกัน </div><div align="justify"><br />เมื่อถึงเวลานี้ ที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์คนหนึ่งแล้ว ตามขบวนการตามธรรมชาติ การพัฒนาการทางตัวเราและการเรียนรู้กำลังจะเริ่มขึ้นต่อมา ดูเหมือนว่าการเรียนรู้หรือการรับรู้ต่อโลกใบนี้ดูช่างใหญ่โตนี่เสียนี่กะไร เรารับรู้สิ่งรอบตัวเราแทบทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกเวลาทุกวินาที สมองเราจะได้รับข้อมูลจำนวนนับไม่ถ้วนจากทุกส่วนของร่างกายและจากโลกภายนอกรอบตัวเรา ต่างกับสัตว์ที่เรียนรู้ตามสัญชาตญาณเพื่อการเอาตัวรอด แต่มนุษย์เราเรียนรู้เพื่อการพัฒนาการ โดยทั่วไปแล้วเราจะไม่ให้ความสนใจกับสัญญาณที่ได้รับข้อมูลเหล่านี้ ยกเว้นต่อเมื่ออยู่ในสภาวะที่ไม่คุ้นเคยหรือที่เป็นอันตราย เราจึงจะตื่นตัวกับมันเป็นพิเศษ </div><div align="justify"><br />ปกติแล้วความสนใจของเราหรือการรับรู้จะค่อยข้างจำเพาะเจาะจง เราจะไม่สำนึกอยู่ทุกขณะจิตถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นที่แขน ขา ตา หู จมูก ปาก หรือความรู้สึกจากการสัมผัสต่างๆ อย่างเช่น เมื่อเราจดจ่อกับนวนิยายหรือกำลังทำอะไรบางอย่างเช่น วาดรูป เราก็จะไม่ได้ยินเสียงวิทยุหรือเสียงเฮฮาของคนรอบข้าง หรือขณะขับรถเราคงไม่อ่านแผนที่เส้นทางขณะขับรถไปเป็นแน่ “จิต” ของเราก็เช่นกัน ถ้าเราสามารถฝึกจิตให้สำนึกอยู่ทุกขณะ (สมาธิ) สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบกายก็จะไม่มากระทบตัวเราได้ กล่าวโดยรวมแล้ว จิตสำนึกจะไม่รับรู้ข้อมูลร้อยละ ๙๙ ที่สมองได้รับ ด้วยเหตุว่าข้อมูลเหล่านั้นไม่สำคัญ หรือไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราสนใจอยู่ในขณะนั้น และอะไรล่ะ ที่เป็นส่วนการรับรู้ข้อมูลของร่างกาย ที่จะกล่าวถึงในบทต่อไป</span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-45654615627900996272007-08-07T03:02:00.000-07:002007-08-08T19:00:37.141-07:00ประตูแห่งการรับรู้<div align="justify"><span style="font-family:arial;">สิ่งที่มนุษย์ “รับรู้ หรือ รู้สึก” ได้นั้น มีมาแต่กำเนิดผ่านเข้ามาทางผัสสะ กล่าวคือ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การได้รส การสัมผัส การรับรู้นั้นมิได้ทำให้เราเกิด มโนคติ มโนภาพ หรือจินตนาการ ได้ทั้งหมดไม่มีญาณใดที่จะรับประกันได้ว่าการรับรู้ของคนเราเกิดขึ้นมาได้แต่เกิด ถ้าจะมีใครเชื่อว่า มโนคติมีมาแต่เกิด ก็เห็นจะเป็นจำนวนน้อยเต็มที จริงอยู่ที่ว่า ความพร้อม ความโน้มเอียง ความสนใจ ปฏิกิริยาต่างๆ เหล่านี้เรามีมาแต่เกิด แต่ถ้าการรับรู้ที่เป็นล่ำเป็นสันแล้วไม่มีเลย </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />วิธีที่จะเข้าใจทฤษฎีการรับรู้ได้ดีขึ้นนั้น ต้องศึกษาต้นกำเนิดของตัวเราเอง หรือตัวผู้รู้เองเสียก่อน แรกทีเดียวนั้นได้แก่การตอบสนองต่อสิ่งเร้า พร้อมกับการรับรู้แบบธรรมดาๆ มาตั้งแต่เกิด หรือจะพูดตามสำนวนโบราณได้ว่า การรับรู้ในตอนเกิดมา เป็นเหมือนกระดานเขียนที่ว่างเปล่า ประสาทสัมผัสจะประทับอะไรลงไปก็ได้ ถ้าหากจะพิจารณา ไล่เลียงเรื่องนี้ตามแนวจิตวิทยา ก็จะเห็นว่า ไม่มีญาณใดในตัวเราที่นำการรับรู้มาให้เราอย่างปาฏิหาริย์ และไม่มีกฎที่ว่า การรับรู้จะมาก่อนประสบการณ์ ซึ่งประสบการณ์จะต้องมาทีหลังการรับรู้ ถ้าประสบการณ์มาก่อนมันจะกลายเป็นว่าเราสามารถรู้อนาคตได้ล่วงหน้าเหมือนมีญาณวิเศษ ผัสสะต่างๆที่ว่าเป็นหน่วยแรกของการรับรู้นั้น อาจจะนำมาประติดประต่อกันเข้าเป็นระบบการรับรู้ จะสำรวจดูว่า สิ่งใดเป็นศัตรูและสิ่งใดเป็นมิตร หรือพอใจ ไม่พอใจ ชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ เป็นต้น และจะกระทำปฏิกิริยาต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม ผลที่ได้มาก็ คือ “ประสบการณ์การรับรู้” ประสบการณ์ที่ได้มานี้จะสะสมไว้เพื่อนำมาดัดแปลงต่อการใช้กับสถานการณ์ใหม่ๆต่อไป เป็นเรื่องๆ เป็นรายๆไป และจะมีประสบการณ์แปลกใหม่อยู่ตลอดไปเรื่อยๆ ผู้อ่านลองคิดดูซิว่า ชีวิตเรามันน่าสนุกสักเพียงไหนกับประสบการณ์ที่มีมาตลอดในชีวิตเรานี้ ประสบการณ์ทำให้เราจะปฏิบัติต่อสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมต่างๆอย่างเฉลียวฉลาด โดยทำการควบคุมและครอบครองให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเรา จึ่งจะเห็นได้ชัดแจ้งแล้วว่า ประสบการณ์ที่สะสมไว้เช่นนี้แหละเรียกได้ว่าเป็น “ความรู้” ซึ่งมีสิ่งที่น่าสังเกตุอย่างหนึ่ง ตรงที่เราได้ความรู้มาพร้อมกับความ “คับแคบในใจ” ตามมาด้วย! เพราะอย่างที่กล่าวมาแล้วว่า ประสบการณ์จะกระทำการควบคุมและครอบครองให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเรา จะเกิดการบีบคั้น เกิดการเห็นแก่ตัวขึ้น เห็นแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง เกิดความหยิ่งยะโส จะดูถูกและเอาเปรียบกันมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากประสบการณ์ได้สั่งสอนเรามา การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ทำให้เราฉลาดขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เราเป็นคนที่มีศีลธรรมดีขึ้น หรือคุณธรรมดีขึ้นเลย ถ้าเราไม่ได้เรียนรู้จากภายในตัวเราเองเป็นเพียงแต่ประสบการณ์จากภายนอกที่เรารับรู้หรือเรียนรู้ หลายคนก็คงทราบดีว่าปัจจุบันนี้สังคมเราเป็นอย่างไร แก่งแย่งแข็งขันกันเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการเพื่อให้ได้มา เกิดวิกฤตการแก่งแย่งชิงดีขึ้นในสังคมเรา คิดหาวิธีต่างๆนาๆขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์กับตัวเราหรือกับกลุ่มพวกพ้องของเราขึ้น แต่ผมก็เชื่อว่ามีบางคนที่เคยมีประสบการณ์จากภายในมาบ้างอย่างเช่น เราจะเกิดความภาคภูมิใจเวลาเราได้ทำความดีขึ้น หรือการให้แล้วเรารู้สึกดีโดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นการให้จากภายในใจ หรือรู้สึกดีเวลาที่ได้อยู่กับธรรมชาติที่สวยงามอย่างเป็นอิสระ (ถึงแม้จะชั่วขณะหนึ่งก็ตามที) เป็นต้น เราจะเกิดมิติทางใจเกิดขึ้น ซึ่งไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ อาจจะกล่าวได้ว่า เป็นสุนทรีย์ทางใจเกิดขึ้น จะเกิดอิสระจากภายในออกมา เป็นประเด่นที่จะกล่าวถึงต่อไปในบทต่อไปนั้น </div><div align="justify"><br />ทางวิทยาศาสตร์รู้ดีว่าคนเราประกอบด้วยส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งมีน้ำ กระดูก โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ และไวตามิน ฯลฯ มีตัวกำหนดเพศด้วยโครโมโซม กำหนดลักษณะด้วยยีนมี DNA และ RNA เป็นตัวกำหนดโครงสร้างต่างๆ มีอวัยวะที่สำคัญทั้งภายในและภายนอก โดยอาศัยอาหาร อากาศ และ น้ำ เพื่อการยังชีพ มีความรู้สึกนึกคิด มีสติปัญญา มีความรัก ความเกลียด ความโกรธ ความต้องการ สามารถสืบพันธุ์กับสัตว์ประเภทเดียวกันดังที่กล่าวมาตอนต้นแล้ว และมีกาลเวลาที่ชีวิตต้องสิ้นสุดและเน่าเปื่อยสลายลง แต่ในอีกทางหนึ่ง ทางพุทธศาสนา ประตูแห่งการรับรู้ตัวเรานั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นสองอย่างคือ การรับรู้ภายนอก และ การรับรู้ภายใน อย่างที่ผมกล่าวไว้แล้วว่า “รับรู้ กับ รู้สึก” การรับรู้เป็นสิ่งสัมผัสได้จากภายนอก ส่วนการรู้สึกสัมผัสได้จากภายในเราเท่านั้น (รูป กับ นาม) กล่าวได้ คือ</span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br /><strong>ร่างกาย (รูป / รูป)<br />ความรู้สึก (เวทนา / นาม)<br />ความจำ (สัญญา / นาม)<br />การคิด ปรุงแต่ง (สังขาร / นาม)<br />การรู้ (วิญญาณ / นาม)</strong></div><div align="justify"><br />เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีมานานอยู่แล้วกว่า ๒,๕๐๐ กว่าปี ในพุทธศาสนา เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ถ้าทำความเข้าใจให้ดี เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเราทั้งนั้น เราสามารถผัสสะสัมผัสเรียนรู้และฝึกได้ด้วยในตัว ซึ่งจะทำให้เรารู้เท่าทันตัวเราเองด้วย เมื่อเรารู้เท่าทันตัวเราเองได้ เราก็จะรู้เท่าทันคนอื่นได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะขออธิบายไว้เป็นข้อๆดังนี้ </div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#3333ff;">ร่างกาย (รูป / รูป) คือ</span></strong><br />ผมต้องขอทำความเข้าใจในเรื่องนี้เล็กน้อยว่า ผมได้อธิบายในเรื่องร่างกายไว้แล้วในบทก่อน แต่นั้นเป็นเรื่องทางด้านกายภาพ (Physical) แต่สิ่งที่จะอธิบายต่อไปนี้เป็นเรื่องของ ผัสสะหรือสัมผัสล้วนๆ (Touch) ซึ่งต่างกันกับทางกายภาพมาก กระบวนการผัสสะทางร่างกายจำแนกได้อีกเป็น ๖ อย่างด้วยกัน คือ</div><div align="center"><br /><strong><span style="color:#33ccff;">ตา (ได้เห็น) หู (ได้ยินเสียง) จมูก (ได้กลิ่น) ลิ้น (ได้รส) กาย (ได้สัมผัส) ใจ (ได้รับรู้)</span></strong></div><strong><div align="justify"><br /></strong>ดังจะเห็นว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามาก มันอยู่กับเรามาตั้งแต่เกิดเลยทีเดียว เป็นผัสสะหกทาง ที่มีมาแต่กำเนิด แต่เราก็ใช้กันมาแบบไม่รู้ตัวเป็นสักส่วนใหญ่ กล่าวอีกแง่หนึ่งได้ว่า เรามักจะใช้ผัสสะตามสัญชาติญาณตัวเราเท่านั้น ถ้าเราได้จะพิจารณาลงไปถึงความจริงแล้ว มันก็จะเป็นเรื่องของความไม่เที่ยงด้วย เป็นกระบวนการหรือเป็นปรากฏการณ์ชั่วขณะหนึ่งๆเท่านั้น เป็นผัสสะที่ผ่านเข้ามาให้เรารับรู้แล้วก็ผ่านไป มีเกิดและก็มีดับไป แต่ที่น่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า ตอนที่ผัสสะผ่านเข้ามานั้นตัวเราจะคิดปรุงแต่งต่อไปอีกเรื่อยๆ หรือที่เราเรียกว่า ติดใจ และในที่สุดจะกลายเป็นอุปทานต่อไป กล่าวคือ “จะยึดมั่นถือมั่นในตัวตน” ขึ้นมาจนในที่สุดก็จะมีลักษณะกลายเป็นความเห็นแก่ตัวขึ้นมา วิธีลักษณะที่ตัวเราได้รับผัสสะหรือสัมผัสนั้นมีดังนี้ (จะขอกล่าวในทางกายภาพ วิชาการสักเล็กน้อย) </div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#33ccff;">ตา -</span></strong> แม้ว่าตามปกติเราจะไม่ได้มองเห็นโลกนี้เป็นภาพหัวกลับ แต่จริงๆแล้วเลนส์ตานั้น จะโฟกัสภาพหัวกลับไปยังจอตา ทั้งนี้เป็นผลมาจากคุณสมบัติพิเศษของแก้วตา ซึ่งสัมพันธ์กับขนาดและรูปร่างของดวงตา ภาพหัวกลับนี้จะส่งผ่านจักษุประสาทไปยังศูนย์กลางการเห็นในสมอง สมองจะแปรให้เป็นภาพหัวตั้งตามจริงดังที่สมองรู้ว่าควรจะเป็น สมองของเราจะสามารถเติมส่วนที่มองไม่เห็นลงไปในภาพเค้าโครงวัตถุนั้นได้โดยอัตโนมัติ ด้วยข้อมูลเพียงเล็กน้อย เป็นต้นว่า เพียงแวบเดียวที่เราได้เห็นทิศทางของแสงที่สาดลงบนพื้นห้อง เราก็บอกได้ทันทีว่าขณะนั้นเป็นช่วงเวลาใดของวันได้ หรือถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์ใดที่ตาเห็น เราก็พอจะวิเคราะห์ได้ว่าจะปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัยต่อสถานการณ์นั้นๆได้ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า เรารับรู้สิ่งต่างๆ ได้มากกว่าที่เราเห็นจริงได้ กล่าวได้ว่า การเห็นมิใช่เป็นเพียงการที่ดวงตาเราจับจ้องไปยังวัตถุภาพนอก และมีภาพสะท้อนกลับเข้ามายังจอตาเท่านั้น หากแต่ว่าการเห็นนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อสมองแปลความหมายของภาพที่เข้ามากระทบจอตาของเรา แล้วใช้ภาพที่ปรากฏแก่ดวงตานั้นเป็นพื้นฐานเพื่อสร้าง “ภาพอื่น” ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ภาพอื่นๆนี้อาจจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ภาพความทรงจำ” สมองเก็บความจำไว้มากมายนับเป็นคลังข้อมูลภาพของสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา คลังข้อมูลภาพความทรงจำนี้ จะเป็นประโยชน์หากว่าภาพที่เข้ามายังจอตาขาดความสมบูรณ์หรือมีความคลุมเครือและต้องแปลความหมายเพิ่มเติมต่อไป คงจะเคยได้ยินที่ว่า ดวงตาคือหน้าต่างของโลกกว้าง ก็ไม่ผิดนัก </div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#33ccff;">หู -</span></strong> เมื่อเราสีไวโอลิน ร้องเพลง เคาะส้อมเสียง หรือเราอาจพูดเป็นทางการได้ว่า ทำให้วัตถุสั่นสะเทือน แรงสั่นสะเทือนจะกระทบโมเลกุลของอากาศทั้งสองข้างของวัตถุนั้น เกิดเป็นคลื่นของอากาศที่โดนกดอัด (โมเลกุลที่โดนอัดเบียดกัน) สลับกับอากาศที่เบาบาง (โมเลกุลที่กระจายตัวออกไปเมื่อมีความกดน้อย) คลื่นนี้แผ่ขยายออกไปคล้ายระลอกคลื่นในมหาสมุทร เราเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่า “เสียง” คลื่นเสียงสะเทือนเป็นช่วงของความถี่ ทำให้เกิดเป็นเสียงแหลมเสียงทุ้ม คลื่นของแรงกดอากาศซึ่งเคลื่อนที่ไปนี้จะเป็นเสียง ได้ก็ต่อเมื่อเยื่อแก้วหูของเราถูกกระทบหรือได้รับ แล้วส่งสัญญาณคลื่นนี้ไปยังสมองเพื่อให้วิเคราะห์ว่าเป็นเสียงอะไร เมื่อเราได้ยินเสียงเพียงเสียงเดียว เราอาจจะรู้ถึงคุณลักษณะหลายประการของเสียง ได้แก่ ระดับสูงต่ำ ความดังเบา แม้แต่คุณภาพของน้ำเสียง ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความรู้สึกเร้าจากภายใน ความรู้สึกนี้เองจึงเป็นสิ่งที่เราเรียกว่า “ดนตรี” (Music) เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ดนตรีทุกประเภทมีความลึกซึ้งอย่างจะหาคำพูดใดมาอธิบายไม่ได้ และเพราะเหตุนี้เองดนตรีจึงลอยเด่นขึ้นมาในความสำนึกของเรา ปลุกอาเวคทั้งหมดในส่วนลึกของธรรมชาติของเรารื้อฟื้นขึ้นมาให้เราเสียใหม่โดยไม่มีความเป็นจริงแต่ประการใดเลย และปราศจากความปวดร้าวใดๆทั้งสิ้น . . . </div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#33ccff;">จมูก -</span></strong> จมูกเป็นอวัยวะที่ออกแบบมาอย่างดีเยี่ยมรูปทรงที่ยื่นออกมา สอดคล้องกับการทำหน้าที่ทางสรีระ กล่าวคือเป็นท่อทางเดินอากาศ ตำแหน่งที่อยู่เหนือปากก็เหมาะสมต่อการรับรู้กลิ่นอาหาร เสริมกับปุ่มรับรสเพื่อช่วยจำแนกประเภทอาหารและรับรสชาติได้ดียิ่งขึ้น ถ้าเราอยากสัมผัสกลิ่นให้เต็มที่ เราก็ต้องสูดหายเข้าลึกๆช้าๆ เพื่อให้กระแสอากาศลอยตัวขึ้นสู่ส่วนบนของจมูกเรา ซึ่งเป็นบริเวณที่มีตัวรับสัมผัส แต่จมูกของเราจะรับรู้กลิ่นได้ก็ต่อเมื่อโมเลกุลของสารส่งกลิ่นนั้นอยู่ในรูปของเหลว กล่าวคือ กลิ่นต่างๆ มักอยู่ในรูปไอระเหยอยู่แล้วขณะที่ผ่านเข้าจมูกของเรา จมูกจะขับเมือกจากเยื่อบุผนังมาละลายโมเลกุลของสารส่งกลิ่น เมื่อโมเลกุลดังกล่าวสัมผัสปลายประสาทรับกลิ่นก็จะเกิดปฏิกิริยาเคมีขึ้นเปลี่ยนเป็นกระแสประสาทรับรู้กลิ่น เดินทางไปตามเส้นประสาทที่ลอดผ่านแผ่นกระดูกใต้สมอง ขึ้นไปสู่สมองส่วนที่ทำหน้าที่รับกลิ่นต่อไป กลิ่นแม้มีเพียงโมเลกุลเดียวก็สามารถกระตุ้นปลายประสาทได้อย่างน่าทึ่ง กลิ่นหอมหลายชนิดมีผลต่อความทรงจำความรู้สึกเราได้เป็นอย่างดีด้วย </div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#33ccff;">ลิ้น -</span></strong> ลิ้นเป็นหนึ่งในอวัยวะสัมผัสที่มีหลากหลายหน้าที่ มีบทบาทสำคัญในการพูดและการกินอาหาร ทั้งยังเป็นที่ตั้งของชิวหาประสาทและกายประสาท ซึ่งช่วยให้เราเพลิดเพลินกับการกินอาหาร ลิ้นช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากอาหาร เช่น จะส่งสัญญาณเตือนถึงความอันตรายหากอาหารที่กินร้อนเกินไป หรือเกิดความรู้สึกขยะแขยงหากอาหารนั้นบูดเน่า เป็นต้น เงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการรับรู้รสก็คือ ความชื้น อวัยวะรับรสจะตรวจพบสารที่ให้รสชาติในอาหารได้ก็ต่อเมื่อสารดังกล่าวละลายอยู่ในน้ำลาย หากปราศจากน้ำลายเราก็จะไม่สามารถรับรสใดๆได้เลย อวัยวะที่ทำหน้าที่รับรสอาหารก็คือปุ่มรับรสซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนลิ้น ที่เหลือกระจายอยู่ตามส่วนอื่นๆของปากและในลำคอ ปุ่มรับรสประกอบด้วยเซลล์ปลายประสาทซึ่งมีขนเส้นเล็กๆยื่นออกมาบริเวณส่วนผิว ปลายประสาทเหล่านี้เชื่อมต่อกับเครือข่ายเส้นประสาทซึ่งทำหน้าที่ถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับรสภายในสมอง ในขณะเดียวกัน เส้นประสาทอื่นๆก็ส่งข้อมูลเกี่ยวกับอุณหภูมิ ความอ่อนแข็งและความเจ็บปวด ซึ่งรับรู้ได้ด้วยลิ้นเช่นเดียวกัน </div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#33ccff;">กาย -</span></strong> กายเราเป็นส่วนรับสัมผัสต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆได้ดีที่เราเรียกว่า ผิวหนัง ผิวหนังของเราเป็นอวัยวะน่าอัศจรรย์ที่ช่วยปกป้องและห่อหุ้มร่างกายช่วยปรับอุณหภูมิของร่างกาย ขับถ่ายน้ำและเกลือแร่ และเป็นตัวรับสัมผัสอันว่องไวต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว ความรู้สึกไวต่อการสัมผัสนั้นเกิดขึ้นมาจากโครงสร้างรับสัมผัสในร่างกาย เส้นขนเป็นตัวรับสัมผัสชนิดหนึ่ง ขนแต่ละเส้นเปรียบเหมือนเสาอากาศเมื่อถูกสัมผัส ร่างกายบริเวณที่ไม่มีขน เช่น ริมฝีปาก หัวนม อวัยวะเพศ จะมีระบบอื่นเพื่อรับสัญญาณ คือมีประสาทรับความรู้สึกอยู่หนาแน่น ซึ่งตอบสนองต่อการลูบเบาๆ ผิวหนังชั้นลึกจะมีปลายเส้นประสาทรับรู้อยู่ทั่วร่างกายเมื่อผิวถูกแรงกดต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีประสาทรับความรู้สึกชนิดพิเศษที่ทำให้เรารับรู้แรงสั่นสะเทือน ความร้อน และความเย็นได้ ทารกที่ไร้ผู้อาทรคอยลูบไล้โอบกอดและอุ้มพาไปที่ไหนๆด้วย จะมีร่างกายและจิตใจที่เจริญเติบโตช้า นี่เป็นเรื่องจริง! เห็นได้ชัดว่า กายสัมผัสมีความสำคัญต่อชีวิตไม่เพียงแต่สำหรับทารกเท่านั้น ผู้ใหญ่ก็เช่นกันการสัมผัสและถูกสัมผัสจากผู้อื่นส่งผลให้เกิดความผาสุกทางจิตใจได้ </div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#33ccff;">ใจ -</span></strong> ใจเป็นตัวผัสสะอีกอย่างหนึ่ง หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่า “ภาวะอารมณ์” เราจะเกิดผัสสะทางใจหรือภาวะอารมณ์ได้นี้ จะต้องเกิดจากผัสสะทั้งห้าคู่สัมผัสที่กล่าวมาแล้วนี้ก่อนตั้งแต่ ตา หู จมูก ลิ้น จนถึงกาย เป็นการสัมผัสกันด้วยของทางวัตถุ มองเห็นได้ เข้าใจได้ รู้รสได้ จับต้องได้ จึงเกิดภาวะอารมณ์ขึ้นมา อารมณ์ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง อารมณ์ดีหรืออารมณ์ไม่ดี แต่หมายถึงสิ่งที่ผัสสะทั้งห้าตั้งแต่ ตาจนถึงกาย ถูกรู้ขึ้นมา “ใจ” จึงถูกผัสสะรับรู้ด้วย แต่ในบางครั้งใจก็ได้รับผัสสะโดยที่ไม่ได้ถูกรับรู้ด้วยผัสสะทั้งห้าในขณะนั้นได้ แต่เป็นการรับรู้มาแล้วแต่อดีตด้วยผัสสะทั้งห้ามาก่อน เช่น วันหนึ่งเรานึกถึงแม่ขึ้นมา นึกถึงพ่อขึ้นมา หรือนึกถึงคนรักขึ้นมา หรือนึกถึงอะไรที่เราเคยเห็นมาก่อน หรือเหตุการณ์ใดๆมาก่อน เป็นต้น เป็นการสัมผัสด้วยใจ ภาพที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ถูกใจรับรู้ได้ เป็นต้น</div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#3333ff;">ความรู้สึก (เวทนา / นาม) คือ</span></strong><br />รู้สึกเจ็บปวด เป็นทุกข์ ไม่สบายทางกาย ไม่สบาย ทางใจ หรือ รู้สึกเป็นสุขทางกายหรือทางใจ หรือรู้สึกเฉยๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ได้ ถ้าเรารู้สึกชอบก็อยากได้อีกหรือ ที่เรียกภาษาปัจจุบันว่า “ติดใจ” ถ้าไม่ชอบเราก็อยากให้สภาวะความรู้สึกนั้นหายไปหรือหลีกไป ผู้อ่านคงเคยได้ยินว่า ถ้าเรารู้สึกอย่างไรเราก็จะกระทำอย่างนั้นไปด้วย นี่เป็นเรื่องจริง! แต่เป็นเรื่องจริงสำหรับคนที่ไม่รู้เท่าทันตนเองเท่านั้น แต่สำหรับคนที่รู้เท่าทันตนเองแล้วจะสามารถพิจารณาความรู้สึกของตนเองได้ กล่าวคือ ความรู้นี้นั้นจะเป็นประโยชน์กับตัวเราเองได้อย่างไร เช่น ความรัก ความรักทำให้เราเกิดความปรารถนาต่อไป หรือถ้าเราได้เห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ในสิ่งที่ไม่ดีเราก็สามารถเอาความรู้สึกไม่ดีของตัวเรานั้นมาเป็นอุทาหรณ์ได้ ดังนั้นความรู้สึกของตนจะไม่เกิดขึ้นได้เลยหากไม่มี “จิต” ควบคุมอยู่ด้วย</div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#3333ff;">ความจำ (สัญญา / นาม) คือ</span><br /></strong>จำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำสัมผัส ว่าเป็นอะไร ทางพุทธศาสนาถือว่า เป็นหน่วยความจำของ “จิต” ไม่ใช่ของสมอง และเป็นที่รวมของคำสั่งต่างๆ ซึ่งจะหลอมรวมกลายเป็น “ประสบการณ์” ประสบการณ์แต่ละเหตุการณ์ จิตจะจดจำไว้จากรูปที่เห็นและให้เราเกิดความรู้สึกต่อมา เราจดจำไว้เพื่อนำมาใช้ในการคิดต่อไปในภายหน้า ในลักษณะเดียวกับซอฟท์แวร์โปรแกรมที่ควบคุมกำกับสมองให้ทำงานอย่างคอมพิวเตอร์ เหตุการณ์ใดๆ ที่ผ่านเข้ามาทางรูปต่างๆ จะเกิดการจำเป็นสัญญาไว้ใน “จิต” จิตของคนเรามีคุณลักษณะ คือ สามารถเก็บบันทึกสิ่งที่ผ่านเข้ามาสู่การรับรู้ คุณลักษณะส่วนที่ทำหน้าที่เก็บบันทึกสิ่งที่ผ่านเข้ามาสู่การรับรู้นี้เรียกว่า ความจำ (สัญญา) เช่นเด็กเกิดใหม่ยังไม่รู้จักอะไร เมื่อเติบโตขึ้นก็ค่อยๆ เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากขึ้นเป็นลำดับ ครั้งหนึ่งเด็กไม่รู้ว่าคนที่อุ้มตัวเองอยู่นั้นคือแม่ ต่อเมื่อมีคนสอนว่า นี่คือแม่ และได้รับการสัมผัสอยู่ตลอด จิตของเด็กก็บันทึกความรู้นั้นไว้ ทุกครั้งที่เด็กเห็นแม่ หรือได้ยิน เด็กจะรู้ว่านี่คือแม่ คุณลักษณะของจิตส่วนที่ทำหน้าที่เก็บบันทึกสิ่งต่างๆ นี้เรียกว่า ความจำ (สัญญา)</div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#3333ff;">การคิด – ปรุงแต่ง (สังขาร / นาม) คือ</span><br /></strong>การคิดนี้ จะเป็นส่วนที่เราเคยผ่านมาก่อนแล้ว หรือที่เรียกว่า “ประสบการณ์มาก่อน” เราจึงจะคิดได้ คำอธิบายได้อีกอย่างหนึ่งหมายถึง “ความปรารถนา” ความต้องการก็ได้ เมื่อ “จิต” มีความปรารถนาอย่างใด ก็จะสั่งให้สมองให้ปฏิบัติตามโดย ๓ วิธีนี้คือ </div><div align="justify"><br />- สั่งเป็นคำพูด หรือนึกคิดเป็นถ้อยคำในทันทีที่ต้องการ </div><div align="justify"><br />- สั่งด้วยขบวนการทำงานร่วมกันระหว่างความรู้สึก(เวทนา) กับ ความจำหมาย(สัญญา) ซึ่งเป็นหน้าที่อย่างอื่นของจิตดังที่กล่าวมาแล้ว คำสั่งชนิดนี้มีลักษณะเป็น “จินตนาการ” </div><div align="justify"><br />- สั่งด้วยกลไกของระบบร่างกายให้อวัยวะต่างๆทำงานเช่น การหายใจ การย่อยอาหาร การเคลื่อนไหวของแขนขา ปฏิกิริยาทางร่างกาย เป็นต้น </div><div align="justify"><br />สภาวะการคิดที่ปรุงแต่งใจ สภาวะที่ว่านี้แบ่งออกเป็นสามฝ่ายด้วยกันได้ คือ ฝ่ายดี ฝ่ายเลว และฝ่ายที่เป็นกลาง ตัวอย่างของสภาวะฝ่ายดี เช่น ความละอายต่อการชั่ว ตัวอย่างของสภาวะฝ่ายเลวก็เช่น ความไม่ละอายต่อการทำความชั่ว และตัวอย่างของสภาวะฝ่ายที่เป็นกลางไม่ดีไม่เลว เช่น ความเพียรพยายาม ความเพียรพยายามนี้โดยตัวมันเองไม่ดี ไม่เลว มันจะดีหรือเลวก็ต่อเมื่อถูกใช้ไปในทางที่ดีหรือชั่วเท่านั้น เช่น เพียรศึกษาหาความรู้ก็กลายเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเพียรฝึกฝนวิธีโจรกรรมก็เลยเป็นเรื่องเลว เป็นต้น</div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#3333ff;">การรู้ (วิญญาณ / นาม) คือ</span></strong><br />กล่าวได้ว่าการรู้ก็หมายถึง การรับรู้โลกภายนอกที่ผ่านเข้ามาทางอวัยวะรับสัมผัสทั้งห้า (รูป) คือ ตา หู จมูก ปาก กาย นอกจากนี้ยังรับรู้การทำงานอย่างอื่นของจิตอีกด้วย คือ รับรู้ความรู้สึก(เวทนา) รับรู้การจำ(สัญญา) รับรู้การคิด(สังขาร) ได้ด้วยดังที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งประกอบไปด้วยรูปกับนาม ทั้งสิ้น หรือกายกับใจเรา ดังจะเห็นได้ว่าทุกอย่างนั้น เชื่อมโยงกันหมด “จิต” คือ สิ่งที่ทำให้ ร่างกายมนุษย์ (รูป) มีความรู้สึก (เวทนา) มีความจำ (สัญญา) และ มีการปรับเปลี่ยนคิดเพิ่มเติมปรุงแต่งขึ้นอีก (สังขาร) จนเกิดการรับรู้ (วิญญาณ) เป็นขั้นๆไป </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="center"><br /><span style="color:#6666cc;"><strong>ผัสสะสัมผัส</strong>(รูป)<strong> --> ความรู้สึก</strong>(เวทนา)<strong> --> การจำ</strong>(สัญญา)<strong> --> การคิด/ปรุงแต่ง</strong>(สังขาร)<strong> --> การรู้</strong> (วิญญาณ)</span></span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />กล่าวได้ว่าเป็นขั้นๆในที่นี้ คือ หากเราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือประสบการณ์ใหม่ๆ คือไม่มีข้อมูลเก่าจากความจำเก่า ก็จะมีการจำใหม่ไว้แทนต่อ ทั้ง “รูป” ที่เกิดความรู้สึก ที่เกิดจากสัมผัสการรับรู้จากภายนอก (ตา หู จมูก ปาก กาย) เห็นรูปนั้นไว้ด้วยกัน ครั้นในเวลาต่อมาเมื่อใดที่ได้เห็นรูปนั้นอีก ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมา เมื่อครั้นเกิดความรู้สึกก็จะเกิดการจำขึ้นต่อมา อย่างที่เคยเกิดร่วมกับการเห็นครั้งแรกขึ้นมากได้อีกเสมอ ต่อมาเมื่อจำได้ก็จะคิดต่อเพิ่มเติมหรือปรุงแต่ง (จิตนาการ) จึงเกิดการเป็น จิต (การรู้) </div><div align="justify"><br />การทำงานร่วมกันระหว่าง “ความรู้สึก” กับ “การจำ” เช่นนี้ ทางพุทธศาสนา เรียกว่า “จิตสังขาร” เป็นคำสั่งของจิตไปยังสมองอีกลักษณะหนึ่ง กล่าวคือ มีการเก็บคำสั่งไว้ในรูปของ “การจำ” แล้วใช้ “ผัสสะสัมผัส” เป็นตัวกระตุ้นให้เกิด “ความรู้สึก” ซึ่งจะไปดึงเอา “การจำ” ที่เก็บไว้เป็นคำสั่งนั้นมาสู่สมอง ให้ปฏิบัติตามได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก (โปรดดูรูปตารางเทียบไปด้วย) ตัวอย่างเช่น ถ้ามีใครสักคนด่าท่านด้วยถ้อยคำอย่างหนึ่งที่ทำให้รู้สึกเจ็บช้ำใจยิ่งนัก ท่านก็จะจำถ้อยคำนั้นไว้ได้ เมื่อใดที่ได้ยินถ้อยคำนั้นอีก (หรือแม้แต่เพียงนึกถึง) ก็จะเกิดความรู้สึกเจ็บช้ำใจ ขึ้นมาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตราบเท่าที่ยังจำถ้อยคำที่ด่าว่านั้นไว้ เช่นกัน ตรงกันข้ามถ้าท่านได้พบเห็นสิ่งสวยงามด้วยผัสสะสัมผัสจนเกิดความรู้สึกขึ้นและจำไว้ เมื่อใดที่ท่านได้เห็นอีกจากผัสะสัมผัส ท่านก็จะดึงจากการจำนั้นขึ้นมาเพิ่มเติมปรุงแต่ง นี่แหละที่เค้าเรียกว่า “จิตสังขาร” หรือ “จิตคิดปรุงแต่ง” ต่อไป </div><div align="justify"><br />คำอธิบายดังนี้ อาจเปรียบเทียบได้ว่า ทำให้มองเห็นการใช้คำสั่งในลักษณะที่เป็นโปรแกรมเก็บไว้ในจิตที่เรียกว่า “ความจำ” อันมีลักษณะเดียวกับซอฟท์แวร์โปรแกรมใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยโปรแกรมคำสั่งเข้าไว้ในจิต และนำ “ความจำ” เข้ามาสู่สมอง (Loading to Brain) เช่นเดียวกับการนำโปรแกรมใช้งานเข้าสู่คอมพิวเตอร์ จากนั้นมนุษย์เราก็จะมีพฤติกรรมไปตามโปรแกรมที่นำเข้าไปนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก</span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-52700188807631472432007-08-07T03:01:00.000-07:002007-08-07T07:41:47.780-07:00กาลเวลาของธรรมชาติในสรรพสิ่ง(การซ้อนเหลื่อมแห่งเวลา)<div align="justify"><span style="font-family:arial;">ถ้าเราจะให้ความหมายของ “เวลา” (Time) นั้น มันไม่ง่ายนักที่จะจำกัดความลงไปให้แน่ชัด เวลา คือการนับอายุเวลา หรือคือการกำเนิดฤดูกาล หรือเวลาคือตารางที่ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อให้เรารู้ว่าเราจะทำอะไรบ้าง ในกิจวัตรประจำวันอย่างนั้นหรือ ก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ ตั้งแต่แรกเกิดลืมตาอ้าปากขึ้นมา เวลา ก็เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรา พอโตขึ้นมาพอจะจำอะไรกับเขาได้บ้าง เราก็ถูกสอนให้บอกเวลาจากนาฬิกา ให้บอกเวลาจากปฏิทิน วันไหน คือ วันจันทร์ วันไหน คือ วันอาทิตย์ เดือนไหนเป็นเดือนไหนก็ว่าเรื่อยไป </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />การนับเวลาที่ว่ามานี้เป็น “สิ่งประดิษฐ์” อย่างหนึ่งที่มนุษย์เราตั้งขึ้นมาเพื่อให้สำหรับนัดหรือวัดเวลาบนโลก ลองคิดดูง่ายๆ ถ้าพ้นจากดาวเคราะห์โลกนี้ไปแล้ว (ไปอยู่ดาวเคราะห์ดวงอื่น) เราก็คงไม่สามารถนับเวลาตามกฎเกณฑ์เดิมของเรานี้ได้ เราอาจจะพบกับเวลาที่แท้จริง ที่เรียกว่า เวลาแห่งจักรวาล (Cosmic Time) หรือเวลาแห่งเอกภพ (Universal Time) ซึ่งนั่นอาจจะเป็นธรรมชาติของเวลาที่จะต้องให้เวลาในการศึกษากันอีกมากมาย ปรากฎการณ์ลึกลับที่เกิดจาการซ้อนเหลื่อมกันของเวลาจึงเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นได้ ที่เรายังหาคำตอบไม่ได้ และมักจะคิดว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเป็นเพราะว่า เรายังไม่เข้าใจถึงธรรมชาติที่แท้จริงของ “เวลา” </div><div align="justify"><br />โจน ฟอร์แมน (Joan Forman) ผู้เขียนสารคดีเรื่องกาลเวลาของธรรมชาตินี้ เป็นผู้หนึ่งที่สนใจถึงความลึกลับของเวลา และได้ศึกษารวบรวมเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ “การซ้อนเหลื่อมของเวลา” ไว้เป็นจำนวนมากซึ่งจะได้หยิบยกมาเป็นตัวอย่างเพียงบางเรื่องหลังจากนั้น เราจะมาวิเคราะห์กันถึงแนวทางที่มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้างบนพื้นฐานของหลักการทางวิทยาศาสตร์เท่าที่อารยชนรุ่นเราจะมีอยู่และรู้ได้ โจน ฟอร์แมน เขียนไว้ว่า การซ้อนเหลื่อมกันของเวลาอดีต กับปัจจุบัน และอนาคต นั้น เมื่อเวลาเกิดการซ้อนเลื่อมกันได้มันอาจจะซ้อนเข้าไปสู่อดีตหรือล่วงหน้าเข้าไปสู่อนาคต มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้ง 2 กรณี อนาคตที่ล่วงหน้ามาปรากฏขึ้นในปัจจุบันนั้นอาจเกิดขึ้นได้ ๒ ทาง คือ เป็นภาพที่อยู่ในความฝัน หรือไม่ก็เดินไปดีๆ แล้วก็เห็นกันเจ๋งๆเลย จนบางทีคิดว่าเป็นภาพลวงตา ภาพที่อยู่ในอนาคตแล้วมาซ้อนกันอยู่กับปัจจุบัน บางครั้งอาจจะไม่รู้สึกผิดสังเกต เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นแต่เมื่อเราไปพบเห็นเข้าสักวันหนึ่งข้างหน้า เราอาจจะรู้สึกประหลาดใจที่พอจะนึกออกว่า คลับคล้ายคลับคลาว่าเราเคยเห็นมาก่อน ท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะเคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่ไม่แน่ใจว่าเห็นมากับตาหรือในความฝัน หรือเห็นมาจากที่ไหนเมื่อไรมาก่อน </div><div align="justify"><br />การซ้อนเหลื่อมแห่งเวลาทั้งอดีตและอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงได้ แต่เป็นความแปลกประหลาดที่ยากจะอธิบาย คนส่วนใหญ่จึงยกให้มันเป็นปรากฏการณ์ที่เหนือธรรมชาติ อย่างไรก็ตามกฎเกณฑ์ที่อยู่เหนือธรรมชาตินั้น ก็ยังคงต้องอยู่ภายใต้เหตุแห่งธรรมชาติทั้งนั้น แต่เรายังอธิบายไม่ได้หรือยังอธิบายได้ไม่ชัดเจนก็อาจจะเป็นเพราะว่าความรู้เรายังก้าวไปไม่ถึง มีใครบ้างที่จะอธิบายถึงการเกิดสุริยุปราคาได้ก่อนที่โลกจะเรียนรู้ถึงระบบการโคจรของดวงดาวในจักรวาล เมื่อโลกมืดลงเพราะเกิดสุริยุปราคาเมื่อหลายพันปีก่อนมันจึงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติที่ไม่มีคำอธิบาย แต่ปัจจุบันเราสามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำแล้ว เช่นกัน การซ้อนเหลื่อมแห่งเวลาก็จะสามารถอธิบายได้ ถ้าเราจะรู้ซึ้งถึงกฎเกณฑ์ของเวลาแห่งจักรวาลมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามในขณะที่เรากำลังคลำทางเพื่อค้นคว้าเรื่องการซ้อนเหลื่อมแห่งเวลา ข้อสังเกตหลายประการก็ได้ถูกรวบรวมขึ้นมาบ้างแล้ว เช่น</span></div><div align="justify"><span style="font-family:arial;"><br />- การซ้อนเหลื่อมแห่งเวลาจะเกิดขึ้นเมื่อมีจุดกระตุ้น<br />- การซ้อนเหลื่อมนั้นจะเกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาสั่นๆ<br />- มีความรู้สึกผิดปกติเกิดขึ้นในขณะที่เวลากำลังจะซ้อนกัน<br />- ความรู้สึกบอกได้ว่ากำลังอยู่ในเหตุการณ์ที่แตกต่างกันใน ๒ เวลา<br />- เสียงจากเหตุการณ์ปัจจุบันนั้นจะหายไป<br />- การซ้อนเหลื่อมแห่งเวลาได้ด้วยการฝึกจิต</span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />ใครจะยืนยันได้ว่า “เวลา” เป็นสิ่งที่ต่อเนื่องเหตุการณ์ จะต้องเกิดจากอดีต มาสู่ปัจจุบัน และไปสู่อนาคตอย่างเดียวเท่านั้นหรือ อย่าลืมว่าความรู้สึกเช่นนี้ถูกฝังแน่นอยู่ในจิตสำนึกของเรา เพราะเราคุ้นเคยกับการนับเวลาตามปฏิทินและการนับเวลาเช่นนี้เป็นเรื่องที่สมมติขึ้น หรือเรียกอีกอย่างว่า “เวลาประดิษฐ์” เป็นเครื่องมือวัดอย่างหนึ่งที่มนุษย์ฉลาดประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อวัด “เวลา” ที่เนื้อแท้ๆของมันนั้น คือ “ เวลาแห่งจักรวาล ” ซึ่งอาจจะมีเครื่องมือวัดระบบอื่นๆ ที่แตกต่างกันไปมาใช้วัดได้ ในภาวะปกติเวลาจะต่อเนื่องกันไปตามระบบการวัดของมนุษย์ แต่เมื่อมี “สิ่งผิดปกติ” เกิดขึ้น ธรรมชาติของเวลาที่แท้จริงก็จะแสดงออก เวลาจะเกิดการเหลื่อมซ้อนกัน ข้อที่น่าสังเกตว่า เมื่อเวลาเกิดเหลื่อมซ้อนกันนั้น เป็นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติ ก็เนื่องมาจากผู้พบเห็นเหตุการณ์จะเกิดอาการผิดปกติขึ้นในร่างกาย เช่น เวียนหัว ทำนองเดียวกับบุคคลที่มีประสาทพิเศษบางคนที่จะเกิดอาการผิดปกติขึ้นก่อนหน้าที่จะเกิดแผ่นดินไหวซึ่งเป็นความผิดปกติของธรรมชาติ เช่นเดียวกันถ้าจะเทียบกับความรู้สึกของคนบางคนที่เกิดผิดปกติขึ้นมาก่อนหน้าที่ เวลาธรรมชาติอย่างหนึ่งกำลังจะผันผวนด้วยการที่มันกำลังจะซ้อนเหลื่อมกัน </div><div align="justify"><br />สิ่งที่น่าขบคิดต่อไปก็คือว่า ถ้าอดีต ปัจจุบัน และอนาคต พร้อมอยู่แล้วที่จะปรากฏออกมา ถ้าเช่นนั้น “ข่าวสาร” ของเหตุการณ์เหล่านี้ควรจะมีอยู่แล้ว มันปรากฏอยู่ในรูปใดรูปหนึ่ง และ ณ.ที่ใดที่หนึ่งสมมุติฐานที่อาจจะยังอยู่เหนือความนึกคิดอยู่ สมมติฐานหนึ่งที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้มีการส่ง “คลื่นลึกลับ” ออกมาตลอดเวลา คลื่นนี้จะบรรจุข่าวสารเกี่ยวกับตัวมันเอง (เช่น สีสัน รูปลักษณ์ สภาวะ ฯลฯ) คลื่นลึกลับเหล่านี้มีการรับและดูดกลืน จากวัตถุอื่นและเมื่อวัตถุอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม และเมื่อสวิตช์ถูกเปิดขึ้น ข่าวสารเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดออกมาช่วงหนึ่งเข้าสู่เครื่องรับ ซึ่งเป็นสมองคน ก็อาจจะทำให้ปรากฏภาพขึ้นได้ ปัญหาก็อยู่ที่ “คลื่นลึกลับ” ที่สามารถเก็บภาพและเสียงเอาไว้ได้นี้คืออะไร แต่มันเป็นความจริงทางฟิสิกส์ที่ยอมรับกันข้อหนึ่งว่า มวลสารทุกอย่างมีการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาตลอดเวลา คลื่นแสงที่ทำให้เรารับรู้ความสดสวยของโลก หรืออาจจะเป็นความขยะแขยง คลื่นวิทยุ รังสีอุลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ ตลอดจนรังสีแกมม่า ชื่อต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นเหล่านี้ที่เคยเป็นคลื่นลึกลับมาก่อนได้ถูกทยอยค้นพบในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา แล้วใครหละจะกล้าพนันได้ว่า ในช่วงศตวรรษต่อไป “คลื่นลึกลับ” ที่ส่งภาพอดีตและอนาคตจากสรรพสิ่งในโลกออกมาจากตัวมันเองจะไม่เป็นคลื่นรายต่อไปที่ถูกค้นพบ </div><div align="justify"><br />สาขาสำคัญหนึ่งของวิชาฟิสิกส์ที่เรียกว่า ควนตัม เมคคานิคส์ (Quantum machanics) มีส่วนสนับสนุนในเรื่องความไม่แน่นอนของเวลา โดยดูจากความไม่แน่นอนของอิเล็กตรอนในอะตอม เราไม่สามารถบอกถึงตำแหน่งแห่งหนของอะตอมที่แน่นอนได้ มันอาจจะวิ่งไปข้างหน้าหรือว่าย้อนหลังในเวลาเดียวกันได้ มันทำตัวเหมือนกับไม่ขึ้นอยู่กับเวลา อนาคตหรืออดีต อาจจะอยู่ ณ. ที่ปัจจุบันก็ได้ ความลึกลับของเวลาในโลกอิเล็กตรอนอาจจะไขความลึกลับของเวลาแห่งจักรวาลได้บ้างไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน ในวันหนึ่งข้างหน้า เป็นความจริงที่ยอมรับกันแล้วว่าสมองของคนเรานั้นมีการส่งคลื่นออกไปตลอดเวลา ด้วยลักษณะของความถี่ที่แตกต่างกัน และเมื่อมันทำตัวมันเป็นเครื่องส่งได้มันก็น่าจะเป็นเครื่องรับได้ด้วยภาพของเหตุการณ์ในอดีต หรือในอนาคตที่มาปรากฏในปัจจุบัน ไม่ว่าจะมาในรูปของการเห็นหรือจากความฝันซึ่งเราเรียกมันว่าเป็นการซ้อนเหลื่อมของเวลานั้น อาจจะเป็นการรับ “คลื่นลึกลับ” ที่เข้าสู่สมองในขณะที่สมองนั้นอยู่ในสภาวะที่เกิด “ปรับ” (Tune) ได้ตรงกับคลื่นนั้นพอดี </div><div align="justify"><br />ถ้าเราสามารถรับรู้เหตุการณ์ในอนาคตซึ่งโดยสามัญสำนึกเราคิดว่า มันยังไม่น่าเกิดขึ้น เพราะผลของอนาคตจะต้องต่อเนื่องจากเหตุแห่งปัจจุบัน ถ้าเป็นเช่นนั้นแสดงว่าข่าวสารในอนาคตได้ถูกกำหนดไว้แล้ว รอให้เราไปพบโดยที่เราจะปล่อยมันไม่ได้เลย อย่างนั้นหรือ คำตอบก็คือ ใช่ ! อาจจะเป็นอย่างนั้น เหตุการณ์ทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้แล้ว หรือถ้าจะพูดลึกลงไปก็คือ มันได้เกิดขึ้นแล้ว ถ้าเช่นนั้นผู้อ่านบางท่านอาจจะเถียงได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อมัน คือ เรื่องของอนาคต คำถามที่น่าคิดสำหรับท่านก็ คือ ท่านแน่ใจแล้วหรือว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เดี๋ยวนี้ท่านเรียกว่า “ปัจจุบัน” คือ ปลายสุดของเหตุการณ์ซึ่งต่อเนื่องมาจากอดีต ปลายสุดหมายถึงว่า เหตุการณ์ในอนาคตยังไม่มี </div><div align="justify"><br />ผู้อ่านอาจจะแน่ใจอย่างนั้นไม่ได้ เพราะนั่นคือ ความรู้สึกของเวลาที่ถูกวัดด้วยระบบของปฏิทิน นั้นคือเวลาประดิษฐ์ สมมติว่ามีการเทียบกับการวัดอีกระบบหนึ่ง คนที่อยู่ในระบบนั้นจะมองเห็นว่า ปัจจุบันที่เรากำลังดำเนินอยู่นั้นมันคือ อดีต เมื่อมองจากระบบของเขานั่นเอง ถ้าอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเป็นสิ่งที่ได้ถูกกำหนดวางไว้แล้ว เกิดขึ้นแล้ว ปรัชญาของคนโบราณเกี่ยวกับเรื่องของชะตาชีวิตที่กล่าวว่า “วิถีชีวิตของคนทุกคนได้ถูกกำหนดไว้แล้ว” สิ่งที่มันจะเกิดมันก็ต้องเกิด ก็นับได้ว่าเป็นแนวความคิดที่น่าสนใจมิใช่น้อย เรื่องที่เราคิดว่าไร้สาระ อาจจะตรงกับหลักความจริงที่ลึกซึ้งลงไปกว่านั้น สำหรับการค้นพบในวันข้างหน้า และเมื่อนั้นเราอาจจะต้องยกย่องให้ แล้วบอกว่า คนโบราณนี้คิดไกลจริงๆ </div><div align="justify"><br />เวลาดูเหมือนว่าไหลผ่านไปอย่างเดียวกับกระแสน้ำ เราแยกสายธารแห่งเวลาออกเป็นสามสายธาร คือ อดีตกาล ปัจจุบันกาล และอนาคตกาล มีความจริงอยู่ว่า “อดีตกาลถูกสร้างขึ้นในความทรงจำ และปัจจุบันกาลมีความเป็นจริงในประสบการณ์ และอนาคตกาลล่วงหน้าอยู่ในจินตนาการ” เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ปัจจุบันกาลไม่เฉียบขาดเหมือนคมมีด ที่เราเรียกกว่า ชั่วขณะ ชั่วคราว (Sir James Jeans / The Mysterious Universe) ความจริงมันมีช่วงเวลาอยู่เหมือนกันในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ มีก่อนหลังอยู่ด้วย แต่ตามความเข้าใจของคนส่วนมากแล้วถือกันว่า ก่อนหลังพรุ่งนี้วานนี้ ล้วนแต่เป็นการกำหนดขึ้นในอุดมการณ์ประดิษฐ์ทั้งสิ้น เช่นเดียวกับอวกาศแห่งมโนภาพ เวลาแห่งมโนภาพก็ผิดเพี้ยนกับเวลาแห่งผัสสะนิดหน่อยเช่นเดียวกัน เวลาคิดเราคิดถึงเวลานามธรรม ซึ่งปัจจุบันกาล เฉียบขาดเหมือนคมมีด ไม่มีช่วงเวลา หรือช่วงเวลามีค่าเป็นศูนย์ ส่วนอดีตกาลและอนาคตกาลอาจจะยืดออกไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด การซ้อนเหลื่อมกันแห่งเวลาอาจจะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่นเดียวกับการเกิดแผ่นดินไหว สุริยุปราคา หรือภูเขาไฟระเบิด เพียงแต่เรายังไม่มีกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดมาอธิบายได้เท่านั้น ความจริงแล้วมีอยู่ในตำราคัมภีร์โบราณต่างๆ หรือตำนานต่างๆ เหมือนกันเกี่ยวกับเวลา แต่จะเรียกอีกอย่างหนึ่ง กล่าวคือ ภพชาติ การระลึกชาติได้ ดังที่มีในตำราและคำกล่าวต่างๆทางพุทธศาสนา </div><div align="justify"><br />ในพระไตรปิฎก มีข้อความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เคยตรัสถึงการกระทำของพระองค์เอง และของคนอื่นๆว่า ได้เคยกระทำคล้ายอย่างนั้นมาแล้วในอดีต หรือที่เราเรียกในนิทานชาดกในเรื่องทศบารมีหรือทศชาติ ถึงตัวเราจะระลึกอดีตชาติไม่ได้ และไม่รู้ว่าเราสะสมอดีตชาติมาเป็นอย่างไร แต่ในพุทธศาสนาทั้งนี้ จะไม่เน้นพูดถึงเรื่องอดีตชาติหรือภพชาตินี้หรือภพหน้า แต่จะพูดถึง “เหตุและผล” ที่เป็นการสืบเนื่องเชื่อมโยงกันมา กล่าวคือ สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากอดีต เหตุจากในอดีตเป็นผลให้เราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ และเช่นกัน เหตุที่เรากระทำลงไปในปัจจุบันนี้ ก็จะเป็นผลให้เกิดขึ้นในอนาคตเราด้วย คนส่วนใหญ่ไม่ได้ฉุดคิดในข้อนี้ปล่อยกระแสการกระทำของเราให้เป็นไปตามกาลเวลา และอารมณ์ความรู้สึกของตัวตนเราในขณะนั้นไป... สิ่งที่เป็นจริงซึ่งเรียกว่าสิ่งธรรมชาติ จะต้องอยู่ภายใต้อวกาศและเวลา เกิดขึ้นและดับลงโดยมีสาเหตุ และเกิดผลตามมา จึงเกิดทรรศนะที่เรียกว่า “ธรรมชาตินิยม” ขึ้นมา ดังจะกล่าวต่อไป</span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-64375014170303836342007-08-07T02:59:00.002-07:002007-08-08T19:10:43.341-07:00ศาสนากับธรรมชาตินิยม<div align="justify"><span style="font-family:arial;"><strong>“ธรรมชาตินิยม” (Naturalism)</strong> เป็นแนวคิดทางปรัชญาที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง ภายหลังจากการค้นพบทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ ๓ ทฤษฎี กล่าวคือ ทฤษฎี “วิวัฒนาการ” (Evolution Theory) ของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) และทฤษฎี “ควอนตั้มฟิสิกส์” (Quantum Physics) ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) และทฤษฎี “การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่” (Big Bang Theory) ของเอ็ดวิน ฮับเบิ้ล (Edwin Hubbles) นับเป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งสำคัญทั้งในโลกของปรัชญาและวิทยาศาสตร์<br />ปรัชญาธรรมชาตินิยม ตั้งต้นจากทรรศนะที่ว่า สิ่งที่เป็นจริงซึ่งเรียกว่า สิ่งธรรมชาติ (Natural Object) จะต้องอยู่ภายใต้อวกาศและเวลา (Space and Time) เกิดขึ้นและดับลงโดยมีสาเหตุ และสาเหตุนั้นจะต้องเป็นสิ่งธรรมชาติด้วย หมายความว่า นอกจากสสารแล้ว สิ่งที่มิใช่สสาร เช่น ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “จิต” (Mind) ของมนุษย์ หากอยู่ภายใต้ระบบอวกาศและเวลาแล้ว ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นจริงด้วย นับเป็นการทลายข้อจำกัดของปรัชญา “สสารนิยม” (Materialism) ซึ่งยอมรับแต่เพียง สสาร (Matter) ที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เท่านั้น ชีวิตจึงได้แก่ปฏิกิริยาพิเศษโดยเฉพาะของสิ่งที่มีโครงสร้างอันซับซ้อน สสารเองก็ยังเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันอย่างมีระเบียบของ โปรตอน และ อีเล็กตรอน ซึ่งมีระดับต่ำกว่าสสาร เมื่อวิวัฒนาการสูงขึ้นๆ อย่างมากแล้ว มนัสจึงเริ่มแสดงบทบาทออกเป็นขั้นอุดการณ์ของสิ่งที่มีชีวิตที่ความซับซ้อนมากๆ เราอาจจะกล่าวได้ว่า ธรรมชาติไต่เต้าขึ้นหาชีวิตและมนัสโดยการจัดระเบียบในสสาร</span><span style="font-family:arial;"><br /></div><div align="justify"><br /><a href="http://3.bp.blogspot.com/_vthUY0IpFuA/Rrp27YKFM2I/AAAAAAAABi8/hD2y8zEKrYc/s1600-h/dawin.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5096516690792231778" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="http://3.bp.blogspot.com/_vthUY0IpFuA/Rrp27YKFM2I/AAAAAAAABi8/hD2y8zEKrYc/s200/dawin.jpg" border="0" /></a>ตามทฤษฎี “วิวัฒนาการ” (ชาร์ลส์ ดาร์วิน) หลังจากโลกได้เย็นตัวลงแล้ว ปฏิกิริยาทางเคมีบนผิวโลกทำให้เกิดไอน้ำ ไอน้ำที่ลอยขึ้นสูงถูกแรงดึงดูดของโลกดูดไว้ ก่อให้เกิดชั้นบรรยากาศและเมฆขึ้น ในที่สุดเมฆก็ตกลงมาเป็นฝน ทำให้เกิดลำคลอง แม่น้ำ ทะเล และมหาสมุทร เมื่ออนินทรียสาร (non-organic matter) ทำปฏิกิริยากับน้ำปริมาณมหาศาลในเวลาที่ยาวนานเพียงพอ สิ่งมหัศจรรย์ คือ อินทรียสาร (organic matter) หรือ “ชีวิต” (Life) ก็ได้บังเกิดขึ้น จากโครงสร้างที่เรียบง่าย เช่น สัตว์เซลล์เดียว ชีวิตได้วิวัฒนาการสู่ความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยแยกเป็นทั้งอาณาจักรพืชและอาณาจักรสัตว์ ในอาณาจักรสัตว์ชีวิตได้วิวัฒนาการจากหนอนทะเล มาเป็นปลา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์บก กระทั่งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในที่สุด เมื่อชีวิตมีวิวัฒนาการที่ยาวนานเพียงพอ สิ่งอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือ “จิต” (Mind) ก็เกิดขึ้น นักชีววิทยาสังเกตว่า รูปแบบของชีวิตนับตั้งแต่ปลาเป็นต้นมาล้วนแต่มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “จิต” เกิดขึ้นแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปลาโลมาที่สามารถฝึกได้ สุนัขที่ซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ ลิงที่เริ่มเรียนรู้การใช้เครื่องมือ และที่สำคัญที่สุดก็คือ “มนุษย์” จิตของมนุษย์จึงเป็นสุดยอดของวิวัฒนาการของจักรวาลนี้ จากการคำนวณของนักธรณีวิทยา โลกมีอายุประมาณ ๕,๐๐๐ ล้านปี สิ่งมีชีวิตมีอยู่ในโลกนี้ประมาณ ๕๐๐ ล้านปี และมนุษย์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ ๒ ล้านปีมานี้เอง ทฤษฎี “วิวัฒนาการแบบก้าวกระโดด” (Emergent Evolution) บ่งบอกว่า เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านปริมาณมาถึงจุดหนึ่ง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพขึ้นอย่างฉับพลัน และในวิวัฒนาการของจักรวาลและโลก ได้เกิดวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดดขึ้นอย่างน้อยที่สุด ๔ ครั้งใหญ่ๆ คือ การเกิดขึ้นของ มวลสาร น้ำ ชีวิต และจิตใจ พุทธศาสนาเห็นพ้องกับปรัชญาธรรมชาตินิยม ที่ว่า จิตใจของมนุษย์มีอยู่ แต่มิใช่ “สิ่ง” (Object) แต่เป็น “ปรากฏการณ์” (Phenomenon) ที่ไม่เป็นตัวไม่เป็นตน เป็น “อนัตตา” (non-self) ร่างกายที่จับต้องได้เห็นได้ กับจิตใจที่จับต้องไม่ได้เห็นไม่ได้ จึงเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน และอิงอาศัยกันอย่างแยกไม่ออก </div><div align="justify"><br /><a href="http://2.bp.blogspot.com/_vthUY0IpFuA/Rrp2zIKFM1I/AAAAAAAABi0/Yhue35JRGBg/s1600-h/Albert_Einstein_Head.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5096516549058310994" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="http://2.bp.blogspot.com/_vthUY0IpFuA/Rrp2zIKFM1I/AAAAAAAABi0/Yhue35JRGBg/s200/Albert_Einstein_Head.jpg" border="0" /></a>ตามทฤษฎี “ควอนตั้มฟิสิกส์” (อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์) หน่วยที่เล็กที่สุดที่เรียกว่า “อะตอม” (Atom) นั้นมิใช่สิ่งที่แข็งตันและหยุดนิ่งอยู่กับที่ ดังคำอธิบายของ “ฟิสิกส์แบบนิวตัน” (Newtonian Physics) แต่กลับประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน และช่องว่างมหาศาลระหว่างประจุไฟฟ้าเหล่านั้น และอิเล็กตรอนก็วิ่งรอบนิวตรอนด้วยความเร็วสูง ทุกสิ่งจึงเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดหยุดนิ่งอยู่กับที่ สรรพสิ่งจึงเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงด้วยตัวของมันเองได้ ไม่จำเป็นต้องเกิดจากแรงผลักจากภายนอกแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น และเป็นไปอย่างสะเปสะปะไม่แน่นอน เราจะต้องแปลกใจที่มันไม่อยู่ตรงที่คำนวณเอาไว้ แต่พบว่ามันกระโดดไปตามเรื่องตามราวอย่างพิสดารไร้ทิศทาง เรื่องนี้ทำให้มึนงงไปตามๆกันกับนักวิทยาศาสตร์ เหมือนกับว่ารากฐานของวิทยาศาสตร์พังทลายเสียแล้ว เพราะรากฐานทางวิทยาศาสตร์กล่าวว่า เหตุการณ์ในธรรมชาติถูกกำหนดขึ้นอย่างแน่นอนตายตัว กล่าวคือ ปัจจุบันเป็นผลของอดีตอย่างเคร่งครัด การค้นคว้าใหม่นี้ ยังให้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง คือ เน้นหนักมากขึ้นในเรื่องลักษณะสถิติของกฎในธรรมชาติ เราอาจจะไม่รู้ว่าอิเล็กตรอนแต่ละตัวจะมีพฤติกรรมอย่างไร แต่เราสามารถ กำหนดสถิติขึ้นอย่างเชื่อถือได้ จึงเป็นอันว่าแม้ในโลกน้อยๆที่เราอาศัยอยู่นี้ พื้นฐานของวิทยาศาสตร์ก็หาได้คลอนแคลนไปแต่อย่างใดไม่ กฎในธรรมชาติส่วนมากเป็นกฎตามสถิติ นั้นก็เท่ากับยืนยันพฤติกรรมรายเฉลี่ยของสังคมศาสตร์ได้ว่า อัตวินิบาตกรรม จะเกิดขึ้นประมาณสักกี่รายในกลุ่มชนสังคมหนึ่ง ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง แม้ว่าจะเอาแน่เอานอนเป็นรายคนไปไม่ได้ว่าคนไหนบ้างจะทำอัตวินิบาตกรรม หรืออีกตัวอย่างหนึ่งได้ว่า พฤติกรรมของแต่ละคนเราไม่สามารถที่จะคาดเดาได้ว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าเรามองภาพรวมใหญ่และตามสถิติแล้ว เราก็อาจจะคาดการณ์ในอนาคตได้บ้างของสังคมนั้นๆไป พูดกว้างๆแล้วหลักการใหม่นี้ดูเหมือนจะถือว่า หน่วยเฉพาะแต่ละหน่วยมีเสรีภาพในการกระทำของตัวเอง มากกว่าที่รู้มาแต่เดิมเสียอีก<br /></div><div align="justify"><br /><a href="http://3.bp.blogspot.com/_vthUY0IpFuA/Rrp2pYKFM0I/AAAAAAAABis/87pvB4bn-ho/s1600-h/mon-r-4-hubble.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5096516381554586434" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="http://3.bp.blogspot.com/_vthUY0IpFuA/Rrp2pYKFM0I/AAAAAAAABis/87pvB4bn-ho/s200/mon-r-4-hubble.jpg" border="0" /></a>ตามทฤษฎี “การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่” (เอ็ดวิน ฮับเบิ้ล) ต้นกำเนิดของจักรวาลเกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่ (Big Bang) เมื่อประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านปีที่แล้ว อันก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่กลายเป็น “มวลสาร” (Matter) ปริมาณมหาศาล แรงระเบิดได้ก่อให้เกิด ช่องว่าง หรือ อวกาศ (Space) ขึ้น มวลสาร อวกาศ และความเร็ว ได้ก่อให้เกิด เวลา (Time) ขึ้น จักรวาลได้ขยายตัวออกกลายเป็น กาแล็กซี่ (Galaxy) ซึ่งมีจำนวนกว่า หนึ่งล้านล้านกาแล็กซี่ แต่ละกาแล็กซี่ประกอบด้วยดาวฤกษ์ (เช่น ดวงอาทิตย์) จำนวนกว่า หนึ่งล้านล้านดวง สุริยะระบบ (Solar System) ของเราอยู่ชายขอบ กาแล็กซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) ซึ่งอยู่ชายขอบของจักรวาลใหญ่อีกทีหนึ่ง เราจึงมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ไม่ว่าในความหมายใดก็ตามที <em><span style="font-size:85%;">(ที่มา : ดร.ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ อาจารย์ประจำภาควิชามนุษย์ศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)</span></em> </div><div align="justify"><br />ทรรศนะทั้งสามนี้ นับเป็นการทลายข้อจำกัดของปรัชญา “สสารนิยม” ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของฟิสิกส์แบบนิวตัน ซึ่งมองว่าสรรพสิ่งอยู่ภายใต้ระบบจักรกล (Mechanism) จะเคลื่อนไหวก็ต่อเมื่อมีแรงผลักจากภายนอกเท่านั้น (Determinism) และทุกสิ่งสามารถทอนลงเป็นหน่วยย่อยได้ (Reductionism) “สสารนิยม” จึงปฏิเสธการมีอยู่ของ “จิต” ว่าเป็นเพียงปฏิกิริยาทางชีวเคมีของร่างกายเท่านั้น ไม่สู้จะมีใครพยายามกำหนดให้รัดกุมมากขึ้นไปอีกว่า ตัวการปลุกเร้าให้เกิดวิวัฒนาการดังที่กล่าวมานี้ มีธรรมชาติเป็นอย่างไรกันแน่ เท่าที่กำหนดกันไว้เพียงรางๆ ก็ว่าเป็นพลังงานควบคุมภายใน เป็นพลังงานควบคุมและประสานงานดั้งเดิม แน่นอนถ้าจะบอกว่าเป็นตัว “จิต” เสียคำเดียวก็จะง่ายแสนง่าย ที่จะง่ายก็เพราะสามารถเทียบดูได้กับตัวเราเอง จิตเป็นตัวการกระตุ้นให้ทำการทุกอย่างในตัวเรา เพราะฉะนั้น ในธรรมชาติก็น่าจะเหมือนกัน </div><div align="justify"><br />ดังจะเห็นได้ว่า คำว่า ธรรมชาตินิยม ก็ไม่ต่างกันกับที่มีความหมายคล้ายกับสสารนิยมนัก ที่เชื่อในเรื่องของ สสาร อะตอม แต่ถ้าจะให้เราเชื่อในเรื่องของสสารนิยม ก็จะดูตื้นเกินไป อาจจะเป็นเพราะว่ามาจากความหมายที่ไม่แน่นอนของสสารนิยม และความเข้าใจของเราที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอด ธรรมชาตินิยมจึงเสนอใช้คำอื่นแทน คือ พลัง การเคลื่อน กฎธรรมชาติ และการมีเหตุผล เป็นต้น เป็นตัวกำหนด ซึ่งสิ่งที่อธิบายสรรพสิ่งต่างๆนี้ เพียงพอสำหรับการอธิบายโลกเราแล้ว อาจจะต่างกันอยู่บ้างก็เพียงแต่ธรรมชาตินิยมนี้จะเน้นความสำคัญของสสารนิยมน้อยกว่า และหันมาเน้นความสำคัญของพลังงานแทน จะเห็นได้ว่าธรรมชาตินิยมก็คือ การเอาเรื่องของ สสารนิยม กับ จิตนิยม เข้ามาไว้ด้วยกันอย่างดี </div><div align="justify"><br />ทฤษฎีสัมพัทธภาพ พลิกเนื้อหาวิชาฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ทฤษฎีนี้ครอบงำกฎสำคัญๆ ทั้งหลายซึ่งมีสูตรกะทัดรัดตายตัว และนำไปประยุกต์ได้ตรงเป้าหมาย จนทำให้วิชาฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์เชิดหน้าชูตาได้บนเวทีแห่งความรู้ของมนุษย์อยู่ทุกวันนี้ กระนั้นก็ดี ครั้นหันมาพูดถึงธรรมชาตินิยมของสรรพสิ่งต่างๆ วิชาฟิสิกส์ทางด้านวิทยาศาสตร์ทั้งหมดก็เหมือนเปลือกหอยที่ว่างเปล่า มีสภาพเป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น เป็นความรู้เพียงโครงเรื่องยังไม่มีเนื้อหา แต่ทว่าทั่วไปในโลกฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์เนื้อหาก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร แน่นอนทีเดียวว่าจะต้องเป็นเนื้อเดียวกันกับความสำนึกของคนเรา นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า มีบางอย่างที่อยู่ลึกในโลกแห่งฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์ที่ไม่สามารถรู้และเข้าใจได้ด้วยวิธีการทางฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์ ยิ่งกว่านั้น เราได้พบว่า แม้วิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปไกลสักแค่ไหนก็ตามที จิตจะได้รับคืนจากธรรมชาติก็เฉพาะสิ่งที่จิตได้ใส่ลงไว้ในธรรมชาติเท่านั้น มีบทกวีเคยกล่าวไว้ว่า<em><span style="font-size:85%;">...(A.S. Eddington / On the Nature of Things)</span></em></span><span style="font-family:arial;"></div><div align="center"><br /><span style="color:#339999;"><strong>“เราได้พบรอยเท้าประหลาดบนชายหาดที่ยังไม่เคยรู้จัก...”<br />“เราได้คิดหาทฤษฎีลึกซึ้งทฤษฎีแล้วทฤษฎีเล่า เพื่อเดาหาที่มาของมัน...”<br />“ในที่สุด...”<br />“เราก็ปะติดปะต่อร่างของเจ้าของรอยเท้านั้นจนได้...”<br />“และน่าประหลาดใจน้อยอยู่หรือที่ว่า...”<br />“ที่แท้เป็นรอยเท้าตัวเรานี้เองแหละ...”</strong></span></span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />ในที่สุด เราจะสรุปอย่างไรกันดี สำหรับแก้ปัญหากำเนิด และธรรมชาติสรรพสิ่งชีวิต ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะถ้าเราพบกุญแจไขความลึกลับเกี่ยวกับกำเนิดและธรรมชาติของเซลล์มีชีวิตเซลล์แรกได้เมื่อไร เราก็คงได้กุญแจไขความลับของโครงการยิ่งใหญ่แห่งวิวัฒนาการเช่นกัน และวิวัฒนาการนี้เองที่มาสูงเด่นสุดยอดกับชีวิตมนุษย์ กับความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ และกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์เราด้วย เราได้เห็นแล้วว่าทฤษฎีที่กล่าวมาข้างต้นนี้ หามิได้ให้คำตอบและอธิบาย อย่างที่น่าพึงพอใจแก่เราไม่ ทั้งนี้ก็เพราะเราสังเกตเห็นอยู่ว่า ไม่มีเส้นแบ่งเด็ดขาดระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไร้ชีวิต และก็ดูเหมือนกับว่า ในห้วงลึกของธรรมชาติจะมีตัวการอะไรแฝงอยู่สักอย่าง มีลักษณะเป็น อิทธิพลสร้างสรรค์ดิ้นรนเพื่อให้ได้มาเพื่ออิสรภาพ เป็นการผลักดันและปรับปรุงตัวให้เกิดระเบียบ ให้เกิดความสัมพันธ์ขึ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งยังหาคำเหมาะๆใช้ไม่ได้ ความสัมพันธ์หรือการรวมกลุ่มกันใหม่นี้ ทำให้เกิดคุณลักษณะคุณค่าใหม่ๆ แห่งวิวัฒนาการ จึงได้ชื่อว่าสร้างสรรค์อย่างแท้จริง<br /></div><div align="justify">เราคงจะพอกล่าวได้ว่า ธรรมชาติในส่วนรวมทั้งหมดเป็นกระบวนการสร้างสรรค์สืบเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ระยะที่สำคัญๆ ได้แก่ชีวิต มนัส ความสำนึก สังคม ประวัติศาสตร์ ศิลปะ วรรณคดี วรรณกรรม วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับ “มนุษย์เรา” โดยแท้ ที่จะกล่าวต่อไป </div><div align="justify"><br />มนุษย์จึงไม่แตกต่างไปจากหุ่นยนต์ นับเป็นข้อจำกัดของปรัชญา “สสารนิยม” ที่นำเอาระบบกลไกทางฟิสิกส์มาใช้อธิบายเรื่องของชีวิตซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ละเอียดอ่อนทางชีววิทยา การเกิดขึ้นของปรัชญา “ธรรมชาตินิยม” จึงทำให้ความรู้ทางปรัชญาและวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ มาประสานสอดคล้องเข้ากับความคิดทางพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎี “อนิจจัง” และ “อนัตตา” อย่างน่าอัศจรรย์ </span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-48062731274205085942007-08-07T02:59:00.001-07:002007-08-07T07:56:47.412-07:00ปริศนาจิตวิญญาณมนุษย์<div align="justify"><span style="font-family:arial;">เท่าที่ได้อ่านและศึกษามานั้น เชื่อว่านักคิดนักปรัชญา และนักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะนักฟิสิกส์ ระดับนำทุกคนกระมัง ที่พูดเหมือนๆ กันว่า “มนุษย์” คือ จักรวาล ภายใน คือ จิตรู้ ที่มีขึ้นมาเพื่อเรียนรู้จักรวาลภายนอก หรือพูดว่ามนุษย์ คือ จักรวาลที่มีขึ้นเพื่อเรียนรู้ตัวเอง หรือพูดว่ามนุษย์มีขึ้นมา เพื่อให้จิตรู้มีที่ตั้งหรือเป็นฐาน เพื่อการเรียนรู้ความจริง ปริศนาของ ปรัชญา ศาสนา และวิทยาศาสตร์จึงเกี่ยวกับนิยามของความเป็นมนุษย์อย่างแยกจากกันไม่ได้ </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />ปริศนาอาจเป็นคำถามที่มีเป้าหมายเบื้องต้นที่ความลี้ลับของ “จักรวาล” ความเป็นมาและจุดมุ่งหมายของการเกิดขึ้นมาและการดำรงอยู่ รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างกันของธรรมชาติในสรรพสิ่งและชีวิต โดยเฉพาะมนุษย์เรา ส่วนปรัชญาและศาสนา อาจเป็นคำตอบหรือความพยายามที่จะแสวงหาความจริงที่อยู่เบื้องหลังคำถามธรรมชาติในสรรพสิ่งเหล่านั้นด้วยปัญญา เพื่อยังหาความรู้ความเข้าใจร่วมกันของมนุษย์เราต่อความจริงแท้ </div><div align="justify"><br />ในด้านปฏิบัติ ปริศนามักจะซ่อนเงื่อนงำของประสบการณ์ ธรรมชาติที่คนทั่วไปมักจะนึกไม่ถึงหรือนึกไม่ทันเอาไว้ แต่หากว่าปริศนาใด ซ่อนเงื่อนของประสบการณ์ทางจิตที่ประณีตและล้ำลึก ย่อมต้องอาศัยความ ล้ำลึกและประณีตเช่นเดียวกันของปัญญาหรือปรัชญาและศาสนา มาใช้ในการตีความ หรือพิจารณานั้นๆด้วย ดังเช่นปริศนาธรรมในศาสนา ล้วนเป็นปรัชญาแทบทั้งนั้น ซึ่งแน่นอน! การตีความย่อมมีระดับความล้ำลึกประณีตต่างกันไปตามระดับของ ปัญญาของผู้พิจารณานั้นๆ ดังนั้นการคาดหวังที่จะเห็นข้อสรุปของการ พิจารณาให้เป็นเช่นเดียวกันจากทุกคนจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะปัญญาของคนเราล้วนเป็นแยกได้สองประเด็นทั้งสิ้น กล่าวคือ ซึ่งประเด็นแรกเป็นปัญญาที่ได้มาจากประสบการณ์บนสัญชาติญาณ ส่วนประเด็นที่สองเป็นการได้มาจาก วัฒนธรรมความเชื่อและจากความรู้ หรือวิทยาศาสตร์ที่สะสมเป็นความทรงจำ ไล่ขึ้นมาตามช่วงเวลาและความก้าวหน้าของความรู้ความเชื่อนั้นๆ </div><div align="justify"><br />ดังนั้นจึงเป็นได้ที่ความเห็นของคนเราอาศัยการรับรู้มาจากสองประเด็นทั้งสองนั้น ปัญญาดังกล่าวเป็นไปในทำนองเดียวกันทุกประการ ยกเว้นสำหรับน้อยคนยิ่งนักที่สามารถมีปัญญาระดับพิเศษ นั่นคือ ปัญญาที่ได้มาจากการปฏิบัติจิตปฏิบัติสมาธิ อย่างไรก็ตาม น่าจะต้องเชื่อได้ว่ามันมีปัญญาอีกระดับหนึ่งที่อยู่ก่อนหน้าระดับพิเศษนั้น นั่นคือปัญญาของนักปรัชญา หรือกวีเอกยอดศิลปิน รวมทั้งนักฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ผู้คร่ำเคร่งอยู่กับ จินตนาการ ดังที่ไอน์สไตน์ และ ต่อมาวูลฟ์กัง พอลี (นักวิทยาศาสตร์) ที่พูดเอาไว้มีใจความคล้ายๆกันว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่ผลักดันในนักวิทยาศาสตร์เป็นนักวิทยาศาสตร์ ที่แท้จริงมีเพียงประการเดียว นั่นคือ “จินตนาการ” ดังนั้นเองจึงมีแต่นักปรัชญา หรือกวีชั้นยอดด้วยกันที่เข้าใจ “ความตายของนิรันดร” หรือนักฟิสิกส์ระดับเดียวกันที่เข้าใจ “ความว่างของความเต็ม หรือ ความเต็มของความว่าง” และเช่นเดียวกัน ผู้ที่ปฏิบัติจิตด้วยกันที่เราสามารถเข้าใจถึง “ความสงบของจิต ความว่างของจิต” ได้ด้วยเช่นเดียวกัน </div><div align="justify"><br />การพิจารณาเพื่อตีความหมายของประสบการณ์ โดยเฉพาะ หลักหรือทฤษฎีปรัชญา และศาสนาในอดีต โดยคนทั่วไปที่เป็นคนธรรมดาในยุคสมัยต่อๆมา จึงเห็นแตกต่างกันไปตามพื้นฐานของข้อมูลของความรู้ของตนแต่ละคนนั้นๆ การตีความหมายจึงมีแต่การโต้แย้งกันในทุกประเด็น ทั้งนี้ก็เพราะ วัฒนธรรมความเชื่อและความหลากหลายกับความก้าวหน้าทางวิชาการที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามวันและกาลเวลา ทุกวันนี้ทางตะวันตกจึงได้มีการเอาปรัชญาในยุคของกรีกมารื้อฟื้น และนำมาปรับแปรใหม่จากการเทียบเคียงกับความรู้ใหม่ๆ ที่ก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะในด้านของฟิสิกส์ทฤษฎีและชีววิทยาใหม่ นั่นเป็นเช่นเดียวกับที่นักฟิสิกส์แควนตัมในอดีตเมื่อ ไม่นานมานี้ ที่ได้พบความแนบขนานสอดคล้องกัน ระหว่างวิทยาศาสตร์ใหม่ กับ ศาสนาที่อุบัติขึ้นมาจากทางตะวันออก เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ เต๋า และศาสนาอื่นๆ เมื่อหลายทศวรรษก่อน หลังจากนั้นความรู้ใหม่ที่เป็นความจริงใหม่นี้ ก็ได้กลายเป็นวิสัยทัศน์ที่เป็นพื้นฐาน ของกระบวนทัศน์ใหม่ทางสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนจากกระบวนทัศน์เก่าเดิม ที่เน้นความจริงทางกายภาพบนหลักการแยกส่วน สู่กระบวนทัศน์องค์รวม หรือกระบวนทัศน์ทางจิตวิญญาณ ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนามากๆ แล้วอย่างรวดเร็ว </div><div align="justify"><br />ด้วยมิติใหม่ทางวิชาการเช่นนั้นเอง ที่ทำให้นักคิด นักค้นคว้าในระยะหลังๆมานี้ พากันหวนกลับไปค้นคว้ารื้อฟื้นปรัชญาเก่าๆ และความรู้เดิมๆ ของอดีตที่ถูกหลงลืมทิ้งไป หรือไม่เข้าใจกลับมาศึกษาใหม่เป็นโครงการรายวิชาในสถาบันของมหาวิทยาลัย และพบว่า มีหลายอย่างหลายประการเหลือเกินที่ความรู้ และข้อมูลเก่าเดิมเหล่านั้น ได้เป็นส่วนอย่างยิ่งที่สำคัญต่อความคิด ว่าด้วยทิศทางและเป้าหมายของการสร้างสรรค์ หลักการของการดำรงอยู่ของ จิตปัญญา หรือ จิตวิญญาณสูงสุด ซึ่งก็คือ ที่มาของพระเจ้าในความเชื่อของมนุษย์เรานั่นเอง </div><div align="justify"><br />กล่าวเอาไว้ว่า “จิตวิญญาณ” คือความจริงแท้พื้นฐานของธรรมชาติที่เปี่ยมไปด้วย ศักยภาพของความเป็นชีวิต และคือ ตรรกะอันบริสุทธิ์ที่มีหนึ่งเดียว ส่วนจิตวิญญาณที่อยู่ในทุกชีวิตหรือตัวตน เป็นส่วนหนึ่งของความจริงที่บริสุทธินั้น เมื่อคนเราตายไป ส่วนสำคัญของจิตวิญญาณตัวตนที่ว่านั้น จะกลับไปรวมกับความจริงที่ยิ่งใหญ่ อันเป็นสากลหนึ่งเดียวนั้น นี่คือแนวคิดของ อริสโตเติล (นักปรัชญาสมัยกรีก)นั้นคือ ผู้ที่นักวิทยาศาสตร์กายภาพยอมรับว่าเป็น “บิดาแห่งความรู้วิทยาศาสตร์” ทั้งนี้ก็เพราะว่า อริสโตเติล เป็นผู้ยึดมั่นต่อเหตุผล เชื่อมั่นต่อความเป็นระบบ และนำความเป็นเหตุปัจจัยระหว่างกันและความเป็นระบบนั้นๆ มาเป็นประเด็นหลัก ในการอธิบายข้อสังเกตและการทดลองของเขา แต่ไม่ค่อยมีนักวิชาการ หรือนักวิทยาศาสตร์ผู้ใดสนใจที่จะหยิบยกเอาหลักปรัชญาที่เป็นประสบการณ์ทาง “จิต” หรือด้านของความรู้เร้นลับต่อความจริงอันสากล รวมทั้งเนื้อหาที่ว่าด้วยจิตวิญญาณที่อธิบายธรรมชาติในสรรพสิ่งมาศึกษาค้นคว้ากัน </div><div align="justify"><br />จนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้เท่านั้น เมื่อความคิดดังกล่าวถูกนำมาพิจารณาใหม่ และพบว่า สอดคล้องกับกลไกของกระบวนการชีววิวัฒนาการทางด้านฟิสิกส์เคมีอย่างน่าสนใจยิ่ง ความก้าวหน้าใหม่ๆ ทางด้านวิทยาศาสตร์สสาร และจิตวิญญาณ (God in Nature) ซึ่งก็คือ จิตวิญญาณสูงสุดนั้น มีมาตั้งแต่เดิม ตั้งแต่เริ่มต้นของจักรวาล สิ่งที่ผลักดัน วิวัฒนาการสู่ชีวิตเป็นเรื่องที่ต้องเป็นเช่นนั้นมาแต่ต้น ด้วยแม่พิมพ์ที่เรียกว่ารูปแห่งชีวิตที่ซ่อนตัวเองอยู่ภายในวิวัฒนาการทั้งหมดของมนุษย์ ไม่ได้เกิดขึ้นจากกลไกภายนอก หรือความบังเอิญ ทุกสิ่งมีทิศทาง มีเป้าหมายตั้งแต่ต้น... แต่จากภายในของมนุษย์เรานี้เอง และในฐานะที่มนุษย์เราอยู่ร่วมกันเป็นประชาคมด้วยสังคมศาสตร์ จึงต้องมีที่มาที่ไป ที่จะกล่าวต่อไปในเรื่องของประวัติศาสตร์มนุษย์ในบทต่อไปนี้</span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-27842530000171401562007-08-07T02:57:00.000-07:002007-08-07T07:49:44.567-07:00ประวัติศาสตร์มนุษย์<div align="justify"><span style="font-family:arial;">ความหมายของคำว่า “ประวัติศาสตร์” มีความหมายคือ วิชาที่ว่าด้วยความเป็นมาของเหตุการณ์ และเรื่องราวสำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก อันเกี่ยวพันกับพฤติการณ์ของโลกในอดีต อาจตั้งแต่โลกเริ่มกำเนิด และพฤติการณ์ของมนุษย์ตั้งแต่เริ่มเข้ามามีบทบาทในโลกจากอดีตกาลมาจนปัจจุบันสมัย ประวัติศาสตร์ในสมัยที่มนุษย์ยังไม่รู้จักการเขียนหนังสือหรือจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ลงไว้เป็นลายลักษณ์อักษรนั้นเป็นสมัยที่เราเรียกว่า “สมัยก่อนประวัติศาสตร์” สมัยที่มนุษย์รู้จักการเขียนหนังสือและรู้จักบันทึกเรื่องราวต่างๆไว้เป็นหลักฐานแล้ว เรียกว่า “สมัยประวัติศาสตร์” ซึ่งเริ่มเมื่อประมาณ ๕,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาลมาแล้ว ซึ่งนักปราชญ์ทางประวัติศาสตร์ได้ช่วยกันบันทึกลงไว้ด้วยตัวอักษรเป็นหลักฐาน เนื้อเรื่องดั้งเดิมของประวัติศาสตร์ จึงอาจเริ่มด้วย ศาสนา วีรชน กษัตริย์ และความเคร่งในศาสนาก็ดี ในระบอบประเพณีก็ดี ทำให้คนสมัยเก่าใช้วิธีการบันทึกประวัติศาสตร์ให้อุดมไปด้วยวรรณศิลป์ เพราะครั้งสมัยอดีตนั้นยังถือว่าวิชาประวัติศาสตร์เป็นแขนงหนึ่งของอักษรศาสตร์ ฉะนั้นเนื้อแท้คือเค้าความจริง จึงมีศิลปะ และความเคร่งประเพณี หรือ ความจงรักภักดีแทรกแซงอยู่ด้วย โดยธรรมเนียมนิยมซึ่งมีเหตุผล นักประวัติศาสตร์ได้ยึดเอาการเริ่มรู้จักการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นเครื่องแบ่งระยะเวลาระหว่างยุคก่อนประวัติศาสตร์ กับ ยุคประวัติศาสตร์ เนื่องจากบันทึกที่เหลือไว้เป็นหลักฐานได้ช่วยให้นักวิชาการสามารถรู้ และทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับกิจกรรมของมนุษย์ซึ่งได้สูญสิ้นไปจากโลกนี้นานมาแล้ว การที่ยึดเอาช่วงการประดิษฐ์ตัวอักษรเป็นหัวเลี้ยวในประวัติศาสตร์มนุษย์ก็นับได้ว่าสมเหตุสมผลดี และแน่นอน เมื่อมีประวัติศาสตร์ก็ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับมนุษย์เรา การจะกล่าวถึงประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับมนุษย์เรานี้ ผมจะขอกล่าวถึงบทความ โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ / ปรัชญา (ชุมนุมบทความทางวิชาการ ถวายพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ในโอกาสที่พระชนม์ครบ ๘๐ พรรษา บริบูรณ์) ซึ่งกล่าวไว้อย่างกระชับ และสมบูรณ์ดังนี้ คือ </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />ได้มีการค้นคว้าวิจัยมนุษย์ในด้านต่างๆ ในฐานะที่เป็นร่างกายด้วย สรีรศาสตร์ (Anatomy) ในฐานะที่เป็นจิตด้วย จิตศาสตร์ (Psychology) และในฐานะที่อยู่ร่วมเป็นประชาคมด้วยสังคมศาสตร์ ส่วนในฐานะประวัติศาสตร์ เรารู้จักมนุษย์ดีขึ้นด้วยการตรวจสอบและวิเคราะห์เรื่องราวที่จารึกสืบต่อกันมา ด้วยการพยายามเข้าใจความหมายของความนึกคิด และการกระทำต่างๆ ของมนุษย์ ด้วยการอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยคำนึงถึงสาเหตุ จุดประสงค์ สถานการณ์ และความเป็นจริง จริงอยู่ที่ว่า วิธีการค้นคว้าทั้งหลายเหล่านี้ทำให้เรารู้มากขึ้น แต่ก็ยังเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับมนุษย์อย่างละเอียดลออและโดยสมบูรณ์นั้น ดูออกจะเป็นได้โดยยาก หรือมิฉะนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยถึงแม้ความก้าวหน้าในปัจจุบันจะรุดหน้าไปไกลเพียงไรก็ตาม </div><div align="justify"><br />เมื่อกล่าวถึงมนุษย์ก็จำเป็นต้องกล่าวถึงโลกด้วย “มนุษย์ และ โลก” คำเชื่อมว่า “และ” นี้มีความสำคัญต่อมนุษย์ แต่ไม่มีความสำคัญต่อโลก เพราะจะคิดได้โดยง่ายโลกสามารถดำรงอยู่ตามลำพังได้โดยไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์กับชีวิตนั้นได้ แต่ไม่อาจนึกภาพมนุษย์ได้โดยปราศจากโลก เรามีชีวิตอยู่ตั้งแต่ลมหายใจแรกจนถึงลมหายใจสุดท้ายพัวพันอยู่กับโลก เรามาสู่โลก ไม่ใช่โลกมาสู่เรา และเราจากโลกไปในขณะที่โลกยังดำรงอยู่ต่อไปโดยไม่แยแสกับเรา </div><div align="justify"><br />โลกซึ่งเราอยู่ในและอยู่กันนี้ มิใช่จะเป็นโลกแห่งประวัติศาสตร์ และมนุษย์ก็มิใช่จะเป็นมนุษย์ในแง่ของประวัติศาสตร์โดยอัตโนมัติเสียทีเดียว การเขียนประวัติศาสตร์มิใช่การเขียนประวัติชีวิตของบุคคลหรือของกลุ่มสังคมใดสังคมหนึ่งแต่เป็นเหตุการณ์ทางการเมืองซึ่งกระทบกระเทือนต่อการกระทำและโชคชะตาของประชาชาตินั้นๆ และเพราะเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมือง ประวัติศาสตร์จึงพัวพันเป็นประการสำคัญอยู่กับสภาวะแวดล้อมของการปกครอง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามวิถี สงครามโลกทั้งสองครั้งแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่าประวัติศาสตร์มิใช่ประวัติศาสตร์แห่งวัฒนธรรม หรือประวัติศาสตร์ผลงานทางสติปัญญาความนึกคิด มิใช่ประวัติศาสตร์แห่งความคิดเห็น หรือประวัติศาสตร์ปัญหาทั้งหลายแหล่ แต่เป็นประวัติศาสตร์โลกตามความหมายทางการเมือง แม้แต่สงครามซึ่งอ้างการขัดแย้งทางศาสนาเป็นต้นเหตุก็เป็นต้นเหตุผิวเผินที่ปรากฏอยู่เบื้องบน แต่สาเหตุลึกซึ้งที่แท้จริงนั้นมิอาจหลีกเลี่ยงเรื่องของการเมืองไปได้ </div><div align="justify"><br />แต่อย่างใดก็ตาม การนำเอาประวัติศาสตร์เข้ามาพัวพันกับปัญหาทางปรัชญา ซึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของโลก และของมนุษย์นั้นเพิ่มจะเริ่มต้นด้วย เฮเกล (Hegel) ความคิดที่ว่าปัญหาทั้งหลายทางปรัชญาจะได้รับการพิจารณาได้ก็ด้วยวิถีทางของประวัติศาตร์เท่านั้น เป็นความคิดที่เริ่มมาเพียงเมื่อ ๑๕๐ ปีที่แล้วมา แล้วก็หายไปอีก ในระยะเวลาที่ผ่านมาตามความคิดเห็นของปราชญ์กรีกโบราณนั้น มิใช่เป็นคุณสมบัติจำเป็นตามธรรมชาติของมนุษย์แต่ที่จำเป็นและเป็นธรรมชาติวิสัยก็คือ มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีความโน้มเอียงที่จะมีชีวิตอยู่ร่วมกันกับผู้ที่มีความคล้ายคลึงกัน ( ผิว เชื้อชาติ ความเชื่อถือ ) แต่ในระดับที่สูงมากกว่าระดับของฝูงผึ้ง และฝูงสัตว์เลี้ยง นอกจากความโน้มเอียงของมนุษย์ที่จะอยู่ร่วมกันเป็นประชาคมนี้ มนุษย์ยังมีความสามารถในการเสริมสร้างและผูกพันประชาคมไว้ด้วยกันโดยความเข้าใจในภาษาและคำพูด </div><div align="justify"><br />มนุษย์เป็นมนุษย์ก็ต่อเมื่อเป็นเพื่อนมนุษย์ และจะเป็นเพื่อนมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อได้ร่วมใช้ชีวิตของตนเองกับมนุษย์อื่นด้วยการติดต่อเข้าใจกันทางภาษา การเข้าใจซึ่งกันและกันในสิ่งซึ่งให้คุณและให้โทษ ในสิ่งซึ่งถูกต้องและผิด ในสิ่งซึ่งยุติธรรมและอยุติธรรม ในสิ่งซึ่งจริงและไม่จริง เราอาจพูดถึงมนุษย์ในแง่ที่เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล มีความเข้าใจ และเป็นสัตว์สังคม หรือสัตว์การเมือง โดยไม่มีความจำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวอ้างถึงประวัติศาสตร์ ประวัตศาสตร์อาจพัวพันกับมนุษย์ แต่มิได้มีส่วนกำหนดกฎเกณฑ์ในความเป็นมนุษย์ ที่ว่ามนุษย์ดำรงอยู่ในแง่ของประวัติศาสตร์นั้น เป็นความคิดซึ่งเริ่มมาในอดีตซึ่งไม่นานนัก แต่ทว่ามีจุดเริ่มต้นที่ไกลออกไปอีกในความเข้าใจของโลกตามเทววิทยาของคริสต์ศาสนา เมื่อจักรวาลกลายเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างสรรค์ขึ้นมา ความนึกคิดเกี่ยวกับ ประวัติศาตร์ ก็อาจสืบเนื่องมาจากประวัติศาสตร์โบรัมโบราณ ซึ่งมีเรื่องการสร้างโลกและการสร้างมนุษย์ด้วย และในที่สุดก็มาให้ความสนใจในมนุษย์ในฐานะที่เป็น ชีวิตที่ดำรงอยู่ในแง่ของประวัติศาสตร์ </div><div align="justify"><br />กรีกโบราณมีความประทับใจอย่างลึกซึ้ง ในกฎเกณฑ์ความเป็นระเบียบแบบแผนที่หมุนเวียนอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ ไม่มีผู้ใดสมัยนั้นที่จะให้ระบบจักรวาลที่ได้รับการจัดแจงเป็นระเบียบเรียบร้อยดีแล้วนี้ มีความสัมพันธ์กับความผันแปรไม่แน่นอนของสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับมนุษย์ในประวัติศาสตร์ของโลก ต่างรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์และการกระทำที่ยิ่งใหญ่ในยุคสมัยของตนไว้ แต่สงครามระหว่างกรีกกับเปอร์เซีย ระหว่างเอเธนส์ กับ สปาร์ตา และความเจริญรุ่งเรืองของโรมจนมีอำนาจเป็นศูนย์กลางของโลกเหล่านี้ ไม่เป็นต้นเหตุให้นักปรัชญาสมัยนั้นประดิษฐ์โครงสร้างปรัชญาทางประวัติศาสตร์ขึ้นมา เหตุผลที่ไม่มีปรัชญาทางประวัติศาสตร์นี้มิใช่เพราะความเพิกเฉยไม่ไยดีต่อเหตุการณ์ที่สำคัญ แต่เป็นเพราะได้รู้แจ้งเห็นจริงและตระหนักว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญเพียงครั้งเดียว และการเปลี่ยนแปลงต่างๆนั้น อย่างดีก็เพียงให้รายงานข่าว เป็นเรื่องราว หรืออีกนัยหนึ่งเป็นประวัติศาสตร์แต่มิอาจเป็นความรู้ที่แท้จริงได้ </div><div align="justify"><br />มีข้อคิดอยู่เพียงประการเดียว ถึงกระนั้นก็ค่อนข้างสำคัญ ซึ่งนักประวัติศาสตร์กรีกเน้นที่ว่า การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองอันเป็นการจารึกเรื่องราวในประวัติศาสตร์นั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพราะธรรมชาตินี้จะไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยโดยหลักการแล้ว จึงเป็นที่ประจักษ์สำหรับเหตุการณ์ทำนองนี้ในอดีตและปัจจุบันจะเกิดขึ้นเช่นกันในอนาคต ในวิถีทางเดียวกันและคล้ายคลึงกัน อนาคตไม่อาจนำมาซึ่งสิ่งที่ใหม่อย่างสมบูรณ์ ในเมื่อเป็นธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่างที่จะมีขึ้นแล้วก็สูญหายไป </div><div align="justify"><br />การที่ทุกชาติ ทุกรัฐ ทุกเมือง และทุกบุคคลผู้ทรงอำนาจทั้งหลายจะต้องประสบกับจุดจบที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยง และเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาตินั้น สำหรับความเข้าใจและความรู้สึกของชาวกรีกและโรมันโบราณมีความหมายเช่นเดียวกับข้อเท็จจริงที่ว่า มนุษย์ทุกคนต้องตาย ทุกอย่างในโลกนี้ซึ่งอุบัติย่อมผันแปรสลายไป ความผันแปรสลายตัวไปของทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นมนุษย์ ที่เกี่ยวกับมนุษย์ ซึ่งผิดแปลกอย่างเห็นได้ชัดจากความแน่นอนของการโคจรของดวงดาวในท้องฟ้านี้ เป็นเหตุผลที่ง่ายและกระจ่างแจ้ง ความก้าวหน้าภายใต้จิตสำนึกของเสรีภาพหรือเพราะประวัติศาสตร์ มีจุดหมายปลายทางที่จะสร้างสรรค์สังคมที่ปราศจากชั้นวรรณะ ภายในอาณาจักรแห่งเสรีภาพมนุษย์ ซึ่งมีความหมายเป็นคำเดียวกับ ผู้ที่ต้องตาย! อันเป็นความรู้สึกที่แท้จริงและลึกซึ้งสำหรับคำ ความผันแปรไม่แน่นอน ความอนิจจังของทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นมนุษย์ที่เกี่ยวกับมนุษย์ เขารู้สึกจำเป็นที่จะต้องจารึกการกระทำ หรือเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ไว้เป็นประวัติศาสตร์ เป็นความพยายามเพื่อให้บรรลุถึงความเป็นอมตะไม่มากก็น้อย เพราะถ้าปราศจากประวัติศาสตร์ไว้ช้าไปแล้ว เหตุการณ์เหล่านี้ก็จะจมลงสู่ห้วงที่ว่างเปล่าแห่งความลืม เพราะมนุษย์ไม่มีส่วนร่วมในความเป็นอมตะของพระเจ้า </div><div align="justify"><br />การกระทำของมนุษย์จึงต้องการประวัติศาสตร์ เพื่อที่ว่าการกระทำหรือเหตุการณ์เหล่านี้จะมีชีวิตยืนยาวกว่ามนุษย์ ซึ่งเป็นผู้กระทำและเป็นผู้ก่อเหตุการณ์นั้นเอง ในเมื่อมนุษย์เองนี้เป็นผู้กำหนดประวัติศาสตร์ และอะไรล่ะที่เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ในการกระทำนั้นๆ ดังจะเห็นได้ว่าเกิดมาจากความเชื่อ เมื่อเกิดความเชื่อก็เกิดศรัทธา เมื่อเกิดศรัทธาก็เกิดศาสนาตามมา ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้</span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#33ccff;">ประวัติศาสตร์ ชาย - หญิง</span><br /></strong><em>(บทความนี้ผู้เขียนเรียบเรียงขึ้นมาเพื่อให้ผู้หญิงได้มีการรู้ที่เท่าทันตามยุคสมัย )</em> </div><div align="justify"><br />ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งมีชื่อเรียกกันว่า ยุคหะรัปปา (Harappan) เป็นสังคมที่ประกอบด้วยชน สองกลุ่มใหญ่ คือ พวกอารยัน กับ พวกทราวิฑ (ดราวิเดี่ยน) พวกอารยัน คือ พวกชนพเนจรเผ่าหนึ่งที่อพยพหรือเร่ร่อนเข้ามายึดแผ่นดินอินเดียเมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช แต่ในขณะที่พวกทราวิฑเป็นพวกที่อยู่ติดแผ่นดินอินเดียมาก่อน พวกอารยันเมื่ออพยพเข้ามาแล้ว ได้มาสถาปนาสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมของชาวอารยันขึ้น ในการสถาปนานั้นเป็นการสถาปนาบนการต่อสู้กันระหว่างคนสองกลุ่ม กล่าวคือ ประเด็นเรื่อง ผู้หญิง - ผู้ชาย และประเด็นอื่นๆในสังคมวัฒนธรรมอินเดีย เป็นผลมาจากการต่อสู้ในทางวัฒนธรรมความเชื่อ นั่นคือ ตามประวัติพวกอารยันนั้นเป็นพวกที่นับถือเทพเจ้าซึ่งเป็นผู้ชาย ซึ่งอยู่บนฟ้าหรือบนสวรรค์ เพราะคนพวกนี้เป็นพวกที่อพยพเร่ร่อน พวกอารยันจึงไม่สามารถนับถือเทพเจ้าที่อยู่บนดินได้ เนื่องจากเมื่อมีการอพยพจากผืนแผ่นดินเดิมไปแล้ว เขาจะทิ้งเทพเจ้าของเขาเอาไว้เบื้องหลัง แต่ถ้าเทพเจ้าอยู่บนฟ้า จะตามเขาไปได้เรื่อยๆ เช่นดวงอาทิตย์ดวงดาวต่างๆ ในขณะที่พวกทราวิฑนั้นนับถือพระแม่เจ้า ที่อยู่บนผืนแผ่นดิน </div><div align="justify"><br />เพราะฉะนั้นเวลาที่พวกอารยันเข้ามาสู่แผ่นดินอินเดีย จึงมีการต่อสู้กันระหว่างคนสองกลุ่ม และคนสองกลุ่มนี้ถ้าเราจะวินิจฉัยจากรูปเคารพและลัทธิความเชื่อ ก็น่าจะสันนิษฐานได้ว่า พวกอารยันนั้นยกย่องผู้ชายให้เป็นผู้นำหรือเทพเจ้าที่เป็นบุรุษเพศ เช่นนับถือพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ก็เป็นผู้ชาย ในขณะที่พวกทราวิฑนับถือพระแม่เจ้า เช่นกรณีพระแม่คงคา ซึ่งเป็นพระแม่เจ้าประจำแม่น้ำ พระแม่ธรณี ซึ่งเป็นแม่เจ้าประจำพื้นแผ่นดิน </div><div align="justify"><br />กรณีที่ทราวิฑนับถือเช่นนี้ก็มีข้อสันนิษฐานตามมาว่า ชนทราวิฑนั้น ผู้หญิงมีอำนาจเหนือกว่าผู้ชาย เมื่อคนสองกลุ่มนี้มาอยู่ด้วยกันจึงมีการปะทะกันทางวัฒนธรรม ซึ่งภายหลังพวกอารยันได้มีชัยเหนือพวกทราวิฑ ก็พยายามที่จะทำให้เห็นว่าพวกผู้หญิงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เทพเจ้าผู้หญิงต่อมาจึงถูกลดทอนมาเป็นเพียงแค่ศักติของเทพเจ้าผู้ชายเท่านั้น ความขัดแย้งของคนทั้งสองกลุ่มนี้ก่อให้เกิดผลผลิตทางวัฒนธรรมใหม่ ซึ่งมีการรังเกียจไม่เฉพาะในเรื่องของผู้หญิงกับผู้ชายเท่านั้น เช่นการรังเกียจผิว พวกอารยันซึ่งเป็นคนผิวขาวก็รังเกียจพวกทราวิฑซึ่งเป็นคนผิวดำ จึงทำให้เกิดระบบวรรณะที่ทำให้คนเกิดมาแล้วไม่เสมอภาคกัน มีการรังเกียจวิถีชีวิตไปด้วย ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการยืนยันให้เห็นถึงผลผลิตทางด้านวัฒนธรรม ซึ่งพวกอารยันมีชัยเหนือพวกทราวิฑ </div><div align="justify"><br />กรณีเรื่องผู้หญิงก็เป็นกรณีหนึ่งซึ่งเป็นผลติดตามมาของการที่พวกอารยันแสดงความเชื่อในเชิงข่ม ให้เหนือกว่าความเชื่อของพวกทราวิฑที่เคยยกย่องผู้หญิง อารยันจึงกีดกันพวกผู้หญิงไม่ให้เข้ามาสู่แวดวงศาสนา ชาวอารยันนับถือเทพเจ้าหลายองค์ เช่น พระอินทร์ พระพรหม พระยม ฯลฯ ซึ่งแต่ละองค์ล้วนมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆกัน มนุษย์จำต้องพึ่งพิงเทพเจ้าเหล่านี้เพื่อประโยชน์สุขและความอยู่รอดของตน สิ่งที่น่าสังเกตเทพเจ้าต่างๆล้วนแต่เป็นเพศชายเป็นส่วนใหญ่.... </div><div align="justify"><br />สมัยยุคคริสตจักร ผู้หญิงก็เคยได้ถูกข่มเหงเช่นกัน และเป็นการข่มเหงที่รุนแรงเสียด้วย ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อให้เห็นว่าสตรีผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายคือปีศาจและได้กำจัดเทพีออกไปจากศาสนายุคใหม่ไปตลอดกาล การล้างสมองในยุคนั้นนั้นได้กินเวลายาวนานกว่าถึงสามศตวรรษ เป็นช่วงที่มีคำว่า “แม่มดเกิดขึ้น” การโฆษณาชวนเชื่อที่ให้ลดคุณค่าของสตรีลง การทำลายแม่มด สั่งสอนให้โลกรู้ถึงอันตรายของสตรีนอกรีต แม่มดในทัศนะของยุคสมัยนั้นมักจะร่วมถึง สตรีผู้ที่ทรงมีความรู้ต่างๆ นักบวชหญิง หมอตำแย พวกยิปซี หญิงผู้รักธรรมชาติ ฯลฯ กล่าวคือหญิงใดก็ตามที่ กลมกลืนกับโลกธรรมชาติอย่างน่าสงสัยจะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด จะถูกเผ่าและทำลายโดยสิ้น ยุคของเทพีจบสิ้นลงแล้ว เป็นยุคที่สังคมรังเกียจผู้หญิงมากเกินไป ครั้งหนึ่งเคยได้รับเกียรติ์ให้มีบทบาทสำคัญในฐานะส่วนประกอบครึ่งหนึ่งที่ทำให้บังเกิดความรู้แจ้งทางจิตวิญาณได้ถูกกำจัดให้พ้นไปเสียแล้ว นั้นมันเพียงเป็นประวัติศาสตร์ที่เราสามารถเรียนรู้ได้ แต่มาจนถึง.... </div><div align="justify"><br />ในยุคปัจจุบัน นี้อีกเช่นกัน… ผู้หญิงก็ยัง ถูกคุกคามอยู่ในทางอ้อม... กล่าวได้คือ ถึงปัจจุบันนี้ก็ตามทีเถอะ ที่ผู้หญิงได้ถูกยกระดับขึ้นมาเท่าเทียมกับผู้ชายแล้วก็ตามถึงกับมีองค์กรสิทธิสตรีหญิงเกิดขึ้นหลายองค์กร และความเสมอภาคเท่าเทียมกันระหว่างหญิงกับชาย แต่ในอีกมิติหนึ่งที่มนุษย์มองไม่เห็นว่า ผู้หญิงได้ถูกใช้เป็นสื่อต่างๆในระบบของสังคมมนุษย์ด้วยกันเองในปัจจุบันนี้โดยไม่รู้ตัว ไม่ต้องไปไหนไกล... อยู่รอบๆตัวเรานี่เอง เพียงคุณอยู่ที่บ้านกดปุ่มทีวีคุณก็จะเจอกับสื่อต่างๆ ที่ใช้ผู้หญิงหลอกล่ออย่างแยบยล เป็นเครื่องมือระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง แม้แต่ผู้หญิงเองก็ตาม ก็ยังหลงเข้าไปในค่านิยมนี้โดยไม่รู้ตัว (ซึ่งเป็นยุคของบริโภคนิยม จะกล่าวถึงในบทหลังๆต่อไป) ดังจะเห็นได้จากภาพนู้ดต่างๆเ ป็นต้นหรือภาพโป๊เปลือยนั้น ยังเป็นเรื่องที่ยังคงถูกถกเถียงกันอยู่ถึงการให้ความหมายต่อภาพนู้ด ที่บางกลุ่มให้ความหมายไปในเชิงศิลปะ อันได้แก่ พวกช่างภาพ ทีมงานผู้ผลิต ไปจนถึงตัวนางแบบเอง คนกลุ่มนี้ส่วนหนึ่งมักประกาศเจตนารมณ์ของการผลิตภาพนู้ดออกมาอย่างชัดเจนว่ากระทำไปเพื่อศิลปะ ในขณะที่บางกลุ่มกลับมองภาพนู้ดไปในแง่ของความลามกอนาจาร ที่ต้องการยั่วยุกามารมณ์ของผู้เสพสื่อ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย) หรือเป็นการทำให้ผู้หญิงมีสภาพเป็นวัตถุแห่งการจ้องดูในเชิงเพศ “อุตสาหกรรมภาพนู้ด” โดยใช้เรือนร่างของผู้หญิง และความเป็นเพศหญิงเป็นเครื่องมือในการตอบสนองอรรถรสทางเพศของผู้บริโภคชายเป็นหลัก โดยสิ่งต่างๆ เหล่านี้เองได้สะท้อนให้เห็นภาพของระบบชายเป็นใหญ่ อยู่เช่นกัน...</span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-38212365333471098882007-08-07T02:54:00.000-07:002007-08-08T19:38:34.114-07:00มูลเหตุของการเกิดศรัทธาและศาสนา<div align="justify"><a href="http://1.bp.blogspot.com/_vthUY0IpFuA/Rrp974KFM3I/AAAAAAAABjE/BFIE1zgoE9M/s1600-h/earth7.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5096524395963560818" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; CURSOR: hand" alt="" src="http://1.bp.blogspot.com/_vthUY0IpFuA/Rrp974KFM3I/AAAAAAAABjE/BFIE1zgoE9M/s200/earth7.jpg" border="0" /></a><span style="font-family:arial;">การถือกำเนิดของศาสนา หรือพูดของในแง่ทางการ กล่าวคือ “ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า” ในระยะเริ่มแรกนั้น เกิดจากความไม่รู้ของมนุษย์ที่มีต่อปรากฏการณ์ธรรมชาติ กล่าวคือ มนุษย์ได้ประสบกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิต เช่น ความมืด ความสว่าง น้ำท่วม พายุ ฝนตก ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว ไฟป่า น้ำท่วม กลางวัน กลางคืน การเกิด การตาย เป็นต้น อีกทั้งขอบเขตของความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและปรากฏการณ์ต่างๆที่มีจำกัด ทำให้มนุษย์ในสมัยดึกดำบรรพ์ไม่สามารถอธิบายสาเหตุที่แท้จริงอันอยู่เบื้องหลังของภัยธรรมชาติเหล่านั้นได้ ดังนั้นมนุษย์จึงมองว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งน่าหวาดกลัว ทรงอานุภาพ ลึกลับ และมหัศจรรย์ </span><span style="font-family:arial;"><br /></div><div align="justify"><br />จากความไม่เข้าใจในธรรมชาติและความกลัว ทำให้มนุษย์เชื่อว่ามีบางสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เช่น เทพเจ้า ภูตผี วิญญาณ เป็นผู้ดลบันดาลให้ปรากฏการณ์ธรรมชาติเกิดขึ้น ดังนั้น มนุษย์จึงแสวงหา วิธีการที่จะคุ้มครองให้ตน อยู่อย่างเป็นสุข โดยสร้างวัฒนธรรม หรือจัดพิธีบูชาและเซ่นสรวงเทพเจ้าขึ้น โดยพิธีกรรมเหล่านั้นได้แก่ การบูชายัญ การสวดวิงวอน สวดสรรเสริญ เป็นต้น เพื่อเป็นการแสดง ความเคารพนับถือ และเอาใจเทพเจ้า แนวความคิดขั้นพื้นฐานที่ใช้อธิบายความเป็นไปทั้งหลายนี้ก็จัดว่าง่ายมากขึ้น เนื่องจากพลังสำคัญๆ ทางธรรมชาติจะถูกจินตนาการและปฏิบัติต่อเสมือนหนึ่งเป็นมนุษย์ แต่ทรงพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ รวมทั้งอำนาจแห่งความเป็นอมตะ อำนาจที่ได้ถูกจินตนาการให้มีตัวมีตนขึ้นมา หรืออีกนัยหนึ่ง คือ เทพเจ้าได้เข้ามามีบทบาท มีส่วนร่วมอยู่ในสังคมการเมืองของมนุษย์เข้าแล้ว</div><div align="justify"><br />จะเห็นได้ว่า การที่มนุษย์ยอมรับสิ่งเหนือธรรมชาติ หรือเทพเจ้า ก็เพราะมนุษย์ต้องการความอบอุ่นใจ หรือต้องการหาที่พึ่ง ซึ่งการมีที่พึ่งทำให้มนุษย์ไม่รู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว หรือเมื่อต้องการพ้นภัยก็จะอ้อนวอนร้องขอจากเทพเจ้า หรือหากเทพเจ้าพึงพอใจกับพิธีบูชาแล้วก็ย่อมจะอำนวยสภาพแวดล้อม ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ แต่ในทางตรงกันข้าม หากเทพเจ้าไม่พอใจก็อาจดลบันดาลให้เกิดภัยพิบัติให้แก่มนุษย์ได้เช่นกัน จากความเชื่อของกลุ่มคน ขนบธรรมเนียมประเพณีและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ จึงค่อยๆ วิวัฒนาการเรื่อยมา จนกระทั่งกลายเป็นลัทธิ และศาสนาต่างๆ มีผู้เสนอว่า ศรัทธา หรือความเชื่อนับเป็นจุดเริ่มต้นทางศาสนาทั้งปวง ซึ่งศรัทธาในทางศาสนานั้นมีอยู่สองประเภท ได้แก่ ศรัทธาอันเป็นญาณสัมปยุต คือ ความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา รู้เหตุ รู้ผล และศรัทธาอันเป็นญาณวิปปยุต คือ ความเชื่ออันเกิดจากความไม่รู้เหตุไม่รู้ผล หากจะแยกให้เห็นมูลเหตุของศาสนาตามวิวัฒนาการทางความคิดของมนุษย์ ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันสามารถแยกได้ดังนี้ คือ</div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#33ccff;">๑. เกิดจากอวิชชา :</span></strong> อวิชชา คือ ความไม่รู้ พูดภาษาชาวบ้านว่า โง่! ในที่นี้ได้แก่ความไม่รู้เหตุรู้ผล เริ่มแต่ความไม่รู้เหตุผลทางภูมิศาสตร์ ทางดาราศาสตร์ ไม่รู้ชีววิทยา และไม่รู้จักธรรมชาติอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวเรา เมื่อมีความไม่รู้เหตุผลก็เกิดความกลัวในพลังทางธรรมชาติ ต้องการความช่วยเหลือจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งมีอำนาจเหนือตน จึงมีการสร้างขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อบูชาเอาใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น เพื่อที่จะสามารถช่วยให้มนุษย์มีความอยู่รอดไม่มีภัยต่อๆไป </div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#33ccff;">๒. เกิดจากความกลัว :</span></strong> มนุษย์จะอยู่ในโลกได้ต้องมีหน้าที่ คือ การต่อสู้กับธรรมชาติ และสู้สัตว์ร้ายนานาชนิดและโดยเฉพาะกับมนุษย์ด้วยกันเอง ยามใดที่เราสามารถเอาชนะธรรมชาติหรือคนได้ ความเกรงกลัวธรรมชาติ สัตว์ร้าย หรือมนุษย์ย่อมไม่มี แต่ถ้าไม่สามารถต่อสู้ได้ มนุษย์จะเกิดความกลัวต่อสิ่งเหล่านั้น และในยามนั้นเอง ที่มนุษย์ต้องพากันกราบไหว้บูชา และแสดงความจงรักภักดี ทำพิธีสังเวยเซ่นไหว้ต่อธรรมชาติดังกล่าว ด้วยความหวังหรืออ้อนวอนขอให้สำเร็จตามความปรารถนาอันเป็นผลตอบแทนขึ้นมาเป็นความสุขความปลอดภัย และอยู่ได้ในโลก </div><div align="justify"><br /><span style="color:#33ccff;"><strong>๓. เกิดจากความจงรักภักดี</strong> :</span> ความจงรักภักดีเป็นศรัทธาครั้งแรกที่มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยยอมเชื่อว่า เป็นกำลังก่อให้เกิดความสำเร็จได้ทุกเมื่อ ในกลุ่มศาสนาที่นับถือพระเจ้า เช่น (ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม แม้แต่ศาสนาพุทธ) มุ่งเอาความภักดีต่อพระเจ้าเป็นหลักใหญ่ในศาสนา ในกลุ่มชาวอารยันมีศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) มีคำสอนถึงภักติมรรค คือ ทางแห่งความภักดี อันจะยังบุคคลให้ถึงโมกษะ คือหลุดพ้นได้ แม้ในทางพระพุทธศาสนาก็ยอมรับว่าศรัทธา หรือความเชื่อ ความเลื่อมใสเท่านั้นที่จะพาข้ามโอฆสงสารได้ เมื่อเป็นดังนี้แสดงว่ามนุษย์ยอมตนให้อยู่ใต้อำนาจของธรรมชาติเหนือตน อันเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเองซึ่งเรียกว่าเทพเจ้า หรือพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ผลที่เกิดตามมาคือมนุษย์ยอมให้เครื่องเซ่นสังเวยแก่ธรรมชาตินั้นๆ ด้วย ลักษณะนี้จึงเท่ากับมนุษย์เสียความเป็นใหญ่ในตน ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งที่ตนคิดว่ามีอำนาจเหนือตน </div><div align="justify"><br /><span style="color:#33ccff;"><strong>๔. เกิดจากปัญญา</strong> :</span> ศรัทธาอันเกิดจากปัญญาคือมูลเหตุให้เกิดศาสนาอีกทางหนึ่ง แต่ศาสนาประเภทนี้มักเป็นฝ่ายอเทวนิยม คือไม่สอนเรื่องเทพเจ้าสร้างโลก ไม่ถือเทพเจ้าเป็นศูนย์กลางแห่งศาสนา หากแต่ถือความรู้ประจักษ์จริงเป็นสำคัญ เช่น พระพุทธศาสนา ความเน้นหนักของพระพุทธศาสนา คือ ญาณ หรือปัญญาชั้นสูงสุดที่ทำให้รู้แจ้งประจักษ์ความจริง และหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง </div><div align="justify"><br /><span style="color:#33ccff;"><strong>๕. เกิดจากอิทธิพลของบุคคลสำคัญ </strong>:</span> ศาสนาหรือลัทธิที่เกิดจากความสำคัญของบุคคลเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทุกแห่งหน ที่มีเรื่องราว หรือความสำคัญของบุคคลที่อยู่ ณ. ที่นั้น ความสำคัญของบุคคลที่เป็นเหตุเริ่มต้นของศาสนา หรือลัทธิ โดยมากมักมีเหตุเริ่มต้นโดยความบริสุทธิ์จากจิตใจของมนุษย์ ไม่มีใครบังคับ ไม่มีใครวางหลัก อีกทั้งเมื่อใครนับถือความสำคัญของบุคคลผู้ใดก็จะพากันกราบไหว้ และเคารพบูชา </div><div align="justify"><br /><span style="color:#33ccff;"><strong>๖. เกิดจากลัทธิการเมือง</strong> : </span>ลัทธิการเมืองอันเป็นมูลเหตุของศาสนาเป็นเรื่องสมัยใหม่ อันสืบเนื่องจากการที่ลัทธิการเมืองเฟื่องฟูขึ้นมา และลัทธิการเมืองนั้นได้เข้าไปมีอิทธิพลต่อคนบางกลุ่ม เป็นต้นว่า กลุ่มคนยากจน ซึ่งคนเหล่านั้นก็ได้ละทิ้งศาสนาเดิมที่ตนเองนับถืออยู่แล้วหันมานับถือลัทธิการเมืองดังกล่าวเป็นศาสนาประจำสังคม หรือชาตินิยมลัทธิการเมือง เป็นต้นว่า ลัทธินาซี ลัทธิฟาสซิสม์ และลัทธิคอมมิวนิสต์ เป็นต้น </div><div align="justify"><br />เมื่อเกิดศาสนาหรือความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้ามา สิ่งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ เกิดเทพนิยายต่างๆนาๆ ตามมา ทั้งนี้ก็เพราะว่าสิ่งใดที่มนุษย์ในยุคบรรพบุรุษเราไม่สามารถจะแสดงออกมาได้อย่างเป็นที่พึงพอใจโดยอาศัยคำพูด สิ่งนั้นมนุษย์ก็พยายามระบายออกมาโดยอาศัยความคิดคำนึงทางเทพนิยาย ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เกิดจินตนาการเรื่อง อวตาร ซึ่งแปลว่า “การก้าวลงมาเกิด การข้ามลงมาเกิด หรือการแบ่งภาคลงมาเกิด” เทพเจ้าแต่ละองค์จะมีธรรมชาติแห่งบุคลิกและอุปนิสัยใจคอเยี่ยงปุถุชนอย่างพร้อมมูล อันข้อคิดเรื่องเทพเจ้าแปลงกายลงมาประกอบกรณียกิจบนพื้นโลกนี้มีมาแต่บรรพกาลคือ ตั้งแต่ยุคคัมภีร์พระเวทแล้วทีเดียว ครั้นตกมาถึงยุคคัมภีร์ปุราณและคัมภีร์อุปปุราณ (เป็นคัมภีร์เก่าแก่ของศาสนาฮินดู) ข้อคิดอันนี้ก็ได้รับการพัฒนาให้งอกงามแผ่ไพศาลยิ่งขึ้น คำว่า “นารายณ์” แปลว่า ผู้ที่มีน้ำเป็นที่เคลื่อนไหว นารายณ์เป็นนามหนึ่งของพระวิษณุ ซึ่งมีอยู่ประมาณพันชื่อ เพราะฉะนั้น “นารายณ์สิบปาง” (ผู้อ่านคงเคยได้ยินมาบ้าง) จึงแปลว่า พระวิษณุนารายณ์อวตารหรือแบ่งภาคลงมาเกิดสิบยุคหรือสิบปาง ซึ่งมีลำดับตามพระคัมภีร์ ดังต่อไปนี้</span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#339999;">ครั้งที่หนึ่ง “มัตสยาวตาร” ได้แก่อวตารเป็นปลา<br />ครั้งที่สอง “กูรมาวตาร” ได้แก่อวตารเป็นเต่า<br />ครั้งที่สาม “วราหาวตาร” ได้แก่อวตารเป็นหมู<br />ครั้งที่สี่ “นรสิงหาวตาร” ได้แก่อวตารเป็นนรสิงห์ (ครึ่งคนครึ่งสิงห์)<br />ครั้งที่ห้า “วามนาวตาร” ได้แก่อวตารเป็นคนแคระ (คนยังไม่สมบูรณ์)<br />ครั้งที่หก “ปรศุรามาวตาร” ได้แก่อวตารเป็นปรศุราม (คนป่าหรือคนถือขวาน)<br />ครั้งที่เจ็ด “รามาวตาร” ได้แก่อวตารเป็นพระราม<br />ครั้งที่แปด “กฤษณาวตาร” ได้แก่อวตารเป็นพระกฤษณะ<br />ครั้งที่เก้า “พุทธาวตาร” ได้แก่อวตารเป็นพระพุทธเจ้า<br />ครั้งที่สิบ “กัลกิยาวตาร” ได้แก่อวตารเป็นพระกัลกี (บุรุษผู้ขี่ม้าขาว)</span></strong></span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />นี่เป็นคัมภีร์ของศาสนาของฮินดู กล่าวว่า ตั้งแต่โลกได้อุบัติขึ้นจนตราบถึงทุกวันนี้ พระนารายณ์ได้อวตารมาแล้วถึงเก้าปางคือ “ปางที่สิ้นสุดด้วยพระพุทธเจ้า” ปางสุดท้ายคือปางที่สิบ “กัลกิยาวตาร” จะอุบัติขึ้นในเมื่อถึง กลียุค คือ ยุคปัจจุบันถึงกาลอวสานลง ในปางที่สิบนี้พระวิษณุจะเสด็จมาบนหลังม้าขาว “พระหัตถ์ถือพระแสงดาบซึ่งส่องแสงวาววาบประดุจดวงดาวหาง” พระองค์จะทรงปราบความชั่วร้ายในโลกแล้วสร้างพิภพแห่งความบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นใหม่ (ตามพระคัมภีร์) </div><div align="justify"><br />เรื่องอวตารหรือพระผู้เป็นเจ้าแบ่งภาคลงมาเกิดในโลกมนุษย์นี้ ในแง่ของสังคมวิทยา ปราชญ์ผู้รู้มีความเห็นว่า เป็นเรื่องวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ท่านนำมาสอนคนให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ของสังคมในสมัยนั้น เราจะเห็นได้ว่า ลำดับที่พระผู้เป็นเจ้าแบ่งภาคลงมาเกิดในมนุษย์โลกตามเทพนิยายของชาวฮินดูนั้น เริ่มต้นด้วยการกำเนิดเป็นปลา เป็นเต่า กล่าวคือ สัตว์ในน้ำก่อน แล้วจึงวิวัฒนาการมาเป็นหมู กล่าวคือสัตว์บก ต่อมาเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ (ปางที่สี่) ตามลำดับ ต่อมาจึงเป็นคนที่ยังไม่สมบูรณ์ (ปางที่ห้า) แล้วก็เป็นคนป่าถือขวาน (ปางที่หก) ในที่สุดจึงเป็นคนที่เจริญแล้ว เป็นลูกตัวอย่างเป็นสามีอันเป็นแบบฉบับ เป็นผู้นำและเป็นกษัตริย์อุดมทรรศนะ (กล่าวคือพระรามในเรื่องรามเกียรติ์) ต่อมาก็พัฒนายิ่งขึ้นไป เป็นครูบาอาจารย์สอนคน (กล่าวคือพระกฤษณะและพระพุทธเจ้า) ตามลำดับ สารบัญชีแห่งการอวตารมาเกิดเป็นขั้นๆ ไปเช่นนี้ หากจะพิจารณากันโดยใช้หลักใหญ่เข้าประกอบแล้วก็คงจะเห็นได้ว่าไม่สู้จะห่างไกลจากหลักวิวัฒนาการ หรือทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolution Theory) ของชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) ของโลกเรานี้เท่าไรนัก </div><div align="justify"><br />เรื่องยุคต่างๆ ก็มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับเรื่องอวตารมาเกิด ที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ คือ คัมภีร์ปุราณของชาวฮินดูกำหนดเวลาของโลกไว้ว่ามีสี่ยุคด้วยกัน คือ </div><div align="justify"><br /><strong>- ยุคที่หนึ่งมีชื่อว่า “กฤตยุค”</strong> มีระยะเวลา ๔,๘๐๐ ปีเทวดา ในยุคนี้โลกมีสุขสันต์เพราะมีธรรมะครองโลก อยู่อย่างสมบูรณ์<br /><strong>- ยุคที่สองมีชื่อว่า “เตรตายุค”</strong> หรือไตรดายุค มีระยะเวลา ๓,๖๐๐ ปีเทวดา<br /><strong>- ยุคที่สามมีชื่อว่า “ทวาปรยุค”</strong> มีระยะเวลา ๒,๔๐๐ ปีเทวดา<br /><strong>- ยุคที่สี่มีชื่อว่า “กลียุค”</strong> มีระยะเวลา ๑,๒๐๐ ปีเทวดา </div><div align="justify"><br /><em>*(หนึ่งปีของเทวดานั้นในพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าเท่ากับ ๓๖๐ ปี ในโลกมนุษย์)</em></div><div align="justify"><br />สิ่งที่หน้าสังเกตว่าแต่ละยุคมีระยะเวลาลดน้อยลงยุคละ ๑,๒๐๐ ปี หรือหนึ่งในสี่ของระยะเวลา ในยุคที่หนึ่ง ธรรมะซึ่งครองโลกก็ลดน้อยถอยลงในอัตราเดียวกันนี้ด้วย ดังนั้น เมื่อถึง “กลียุค” อันเป็นยุคปัจจุบันของเรานี้ จึงมีธรรมะเหลืออยู่ในโลกเพียงหนึ่งในสี่ส่วนของปริมาณเดิมในกฤตยุคเท่านั้นเอง ยุคทั้งสี่นี้เมื่อรวมกันเข้าแล้วเป็นหนึ่งมหายุคหรือหนึ่งมนวันดร และ ๒,๐๐๐ มหายุค หรือมนวันดรนี้จะเป็น หนึ่งกัลป์ ตามศัพท์ในพระคัมภีร์ของฮินดู เมื่อสิ้นหนึ่งกัลป์ โลกก็จะถึงซึ่งกาลาวสานครั้งสำคัญ ครั้นแล้วการสร้างสรรค์โลกจึงจะบังเกิดขึ้นใหม่อีกเพื่อรับการอวสานอีก หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้โดยไม่หยุดยั้ง นี่เป็นการกล่าวตามคัมภีร์ปุราณของศาสนาชาวฮินดู ซึ่งผู้เขียนยกขึ้นมาเพื่อให้ขบคิดกัน (ส่วนหนึ่งที่มา : ภารตวิทยา / กรุณา -เรืองอุไร กุศลาสัย รวบรวมและเรียบเรียง) </div><div align="justify"><br />ดังที่กล่าวมาแล้วว่าในยุคปัจจุบันนี้เป็นยุคของ “กลียุค” ตามพระคัมภีร์ปุราณ เป็นยุคที่ธรรมะซึ่งครองโลกลดน้อยถอยลงเหลืออยู่ในโลกเพียงหนึ่งในสี่ส่วนของปริมาณเดิม บางท่านอาจสงสัยว่าปัจจุบันนี้ก็ยังมีธรรมะอยู่นี่ แต่ปัจจุบันนี้เป็นธรรมะที่บริสุทธ์เหมือนดังสมัยยุคบรรพบุรุษเรานั้นยังมีเหลืออยู่เท่าไรกัน หรืออาจจะกล่าวได้ว่ายุคปัจจุบันนี้อาจเป็นยุคของการ “บริโภคนิยม” แล้วก็ได้ ดังจะกล่าวต่อไป</span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-4710538720281734132007-08-07T02:53:00.000-07:002007-08-07T08:00:16.957-07:00สังคมที่มั่งคั่งในยุคบริโภค หรือ จิตใจที่มั่งคั่งในยุคบริโภค<div align="justify"><span style="font-family:arial;">สังคมปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะ สังคมเมืองที่มีทุกสิ่งทุกอย่างมากกว่าปัจจัยสี่ในเบื้องต้นนี้ ที่ไม่สามารถใช้ได้แล้วในยุคปัจจุบัน ถึงจะเป็นสังคมนอกเมืองก็ตามที ก็นับว่าน้อยลงเต็มทีที่จะสามารถอยู่ได้ด้วยปัจจัยสี่ (ที่อยู่อาศัย , อาหาร , เครื่องนุ่งห่ม , ยารักษาโรค) ในสังคมเมืองทั่วโลกซึ่งมีความมั่งคั่ง มีความทันสมัย และมีความสะดวกสบาย รวมถึงอาหารการกินที่ดีกว่าแต่สมัยก่อนมาก แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลก และเป็นที่น่าสังเกตอยู่มากที่ว่า ความสะดวกสบายทางกาย กับ ความสบายใจทางใจ กับเดินสวนกะแสกันไปคนละทาง มองในแง่หนึ่ง ดังที่ท่าน พระไพศาล วิสาโล ท่านเคยพูดกล่าวเอาไว้ว่า นี่คือ “ความรู้สึกพร่อง” คนเรายิ่งรู้สึกพร่องก็ยิ่งอยากหาอะไรมาเติมให้เต็ม ความรู้สึกพร่องดังกล่าวนี้กำลังเป็นความรู้สึกร่วมสมัยของคนในยุคนี้ ปัญหาหลักก็คือ ไม่ว่าเราจะมีมากมายเพียงใดเราก็ไม่รู้จักพอเพียง เราจึงต้องแสวงหาสิ่งต่างๆ มาเติมให้เต็ม อย่างไรก็ตามค่านิยมการแสวงหาสิ่งที่มาเติมให้เต็มนี้ไม่มีวันที่จะช่วยให้เรามีความรู้สึกพอหรือเต็มได้เลย แต่กลับตรงกันข้าม กลับทำให้เรามีความรู้สึกพร่องอยู่เสมอ </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />อะไรล่ะ เป็นปัจจัยต่อคนเรานี้ที่ทำให้ตัวเรามีความรู้สึกพร่องอยู่เสมอ ท่าน พระไพศาล วิสาโล ยังกล่าวอีกว่า “คนสมัยอดีตกาล ความรู้สึกพร่องนี้เกิดจาก อำนาจของตัวบุคคล ความแข็งแกร่งกว่าของตัวบุคคล ความแข็งแกร่งและอำนาจสามารถทำให้บุคคลอื่นเกิดความรู้สึกพร่องได้ และเป็นฝ่ายตามหรือเชื่อฟังหัวหน้าเผ่าแต่โดยดี แต่ปัจจุบันนี้ ได้เกิดปัจจัยสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่มากกว่าสมัยอดีตกาล คือ “วัตถุนิยม” จริงอยู่ที่ว่า ถึงปัจจุบันนี่ก็เช่นกันที่ยังมีเรื่องของอำนาจความแข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่ก็มิใช่ประเด็นที่ผมจะกล่าวถึง สิ่งที่ผมจะกล่าวถึงนี้มันมีอิทธิพลกับจิตใจคนเราเป็นอย่างมาก ที่ทำให้คนเรามีความรู้สึกพร่องอยู่เสมอ ค่านิยมทางวัตถุนิยมนี้ที่แพร่หลายไปทั่วโลก เป็นสิ่งที่กระตุ้นความรู้สึกอยากอยู่เสมอ หรือต้องการอยู่เสมอ สินค้าต่างๆ ที่ออกกันมาอย่างชนิดที่ตามไม่ทัน ใครที่ตามไม่ทันกลับกลายเป็นเรื่องของความไม่ทันสมัย การไม่อินเทรนไป และเป็นสิ่งที่แน่นอนที่ว่า สิ่งหนึ่งที่กระตุ้นความรู้สึกพร่องให้รุนแรงขึ้นก็คือ “สื่อโฆษณา” สื่อโฆษณาต่างๆ จะใช้เทคนิคอันหลากหลายและวิธีการ ไม่ว่าจะหลากหลายหรือวิธีการใดๆ ก็ตาม แต่จุดมุ่งหมายเพรียงแต่อย่างเดียวคือ การกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากขึ้นมาต่อคนดู หรือเกิดภาพฝันขึ้นต่อคนดู ยิ่งกระตุ้นให้เกิดภาพฝันต่อคนดูไกลมากเท่าไร เราก็ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกพร่องมากขึ้น ดังนั้น สื่อโฆษณาจึงไม่เพียงแต่วาดภาพฝันให้งดงามหรูเลิศเท่านั้น หากยังกดสภาพความเป็นจริงของเราให้ดูแย่ลง หรือทำให้เรา (ผู้ชม) รู้สึกไม่ดีกับสภาพความเป็นจริงของตัวเอง” มันก็เป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่เหมือนกันสำหรับผมเอง ซึ่งปัจจุบันนี้ทุกคนดูเหมือนว่าจะมีความรู้ดี และฉลาดมากกว่าแต่คนสมัยอดีต แต่ผมก็ชักไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่า ความทันสมัยอินเทรน กับ ความไม่ฉลาด และ...ความไม่ทันสมัยไม่อินเทรน กับ ความฉลาด<br />เราจะมีมุมมองอย่างไร และจะเลือกอย่างไรดี ดังจะเห็นได้ว่าสื่อโฆษณาส่วนใหญ่มักจะเน้นคุณสมบัติของสินค้าน้อยกว่าภาพลักษณ์ของสินค้า เช่น การสวมใส่เสื้อผ้าอันเบาบาง และไม่รัดกุม กับ สัญญาลักษณ์ตรายี่ห้อของสินค้า อย่างไหนมีความสำคัญมากกว่ากัน เสื้อผ้าเป็นอะไรมิได้มากไปกว่าเพื่อการสวมใส่เพื่อปกปิดร่างกาย รองเท้าเป็นอะไรไปมิได้มากกว่าปกป้องเท้าของเรามิให้บาดเจ็บ รถยนต์เป็นอะไรไปมิได้มากไปกว่าใช้ในการเดินทาง ทุกสิ่งทุกอย่างส่วนใหญ่มักจะเน้นที่ภาพลักษณ์ของสินค้ามากขึ้น ซึ่งสื่อโฆษณาได้ประทับไว้ในจิตใจเรา หรือในจิตสำนึกเราไปแล้ว ความสัมพันธ์กันระหว่างผู้บริโภคและตัวสินค้าได้รับการก่อรูปขึ้นมา ส่วนใหญ่แล้วโดยจินตนาการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดัดแปลงได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ความรู้สึกและความหมายเป็นได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่คงที่ ลักษณะรูปธรรมที่ดัดแปลงได้ง่ายอันนี้ ทำให้มันล้าสมัยได้รวดเร็วเช่นกัน ซึ่งความจริง เป็นความจงใจให้มันล้าสมัย เพื่อผลให้เกิดการบริโภคอยู่ตลอดเวลา และสิ่งเหล่านี้สามารถที่จะถูกนำมาตักตวงผลประโยชน์โดยบรรดานักออกแบบทั้งหลายด้วยวิธีการอันหลากหลายไม่มีสิ้นสุด ตามความเป็นจริงแล้ว จินตนาการเป็นเชื้อเพลิงที่ไม่มีวันหมดสำหรับการคงไว้ซึ่งการเจริญเติบโตของสินค้าและบริการ </div><div align="justify"><br />ผู้อ่านคงจะสังเกตเห็นได้บ้างไม่มากก็น้อย ที่ปัจจุบันเรานี้มีความทันสมัยเจริญมากขึ้นทางภาพนอก แต่ภาพในกลับเดินสวนทางกัน การแสวงหาสิ่งวัตถุภายนอกทำให้ภายในเรามีความสุขได้ก็จริง แต่หลายคนมิได้นึกคิดถึงไปว่า ภายนอกหรือวัตถุนิยม มิได้หยุดให้ตัวเราตามทันได้เลย จึงทำให้ตัวตนของเรามีความรู้สึกพร่องอยู่เสมอ การบริโภคสินค้าเพื่อมาโชว์นั้นเป็นลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของยุคบริโภคนิยม ดังที่ท่าน พระไพศาล วิสาโล เคยกล่าวเอาไว้อย่างน่าคิดอีกที่ว่า “ทั้งนี้เพราะจุดหมายสำคัญก็คือ การยกระดับ “ตัวตน” ของตนให้สูงขึ้นส่วนหนึ่งก็เพื่อจะได้ใกล้เคียงกับภาพฝันที่สื่อโฆษณาได้ประทับไว้ในใจเรา ยิ่งไปกว่านั้นก็คือความรู้สึกด้อยหรือไม่พอใจใน “ตัวตน” เวลานี้กำลังลุกลามไปเป็นความไม่พอใจในร่างกายของตน ลำพังการที่ “ตัวตน” กับ “หน้าตา” กลายมาเป็นเรื่องเดียวกันได้ก็นับว่าพอแรงแล้ว เพราะแต่ก่อนสิ่งที่กำหนดตัวตนของแต่ละคนนั้นไม่ได้อยู่ที่ “หน้าตา” หรือภาพลักษณ์สักเท่าไรหากขึ้นอยู่กับศาสนา เชื้อชาติ สถานะทางสังคม และที่สำคัญคือจากอาชีพการงานและการกระทำของตนเอง ใครที่อยากจะมี “ตัวตน” ที่ดีกว่าเดิม ก็สามารถจะทำได้โดยการฝึกฝนพัฒนาตน หรือแสดงความสามารถให้ประจักษ์ ในปัจจุบันเพียงแค่กินน้ำอัดลมหรือกินเหล้าบางยี่ห้อก็กลายเป็น “คนรุ่นใหม่” ได้แล้ว และสำหรับบางคน ความรู้สึกพร่องดังกล่าวอาจบรรเทาเมื่อเข้าหาศาสนามีสิ่งศักดิ์สิทธิเป็นที่ยึดเหนี่ยว หรือเป็นตัวตนให้ยึดถือ แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ทุกวันนี้ ศาสนาไม่มีเสน่ห์ดึงดูดใจอีกแล้วเพราะเป็นนามธรรมหรือไม่สอดคล้องกับความนึกคิด ก็ในยุคที่โลกทัศน์แบบวัตถุนิยมกำลังแพร่หลายเช่นทุกวันนี้ อะไรเล่าที่ผู้คนคิดว่าสามารถยึดเหนี่ยวจิตใจหรือทำชีวิตให้เติมเต็มได้ดีไปกว่าวัตถุ ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนต่างพากันแสวงหาวัตถุมาครอบครองไม่ใช่เพราะมันให้ความสุขสบายทางกายแต่เพราะมันให้ความอบอุ่นแก่จิตใจต่างหาก ทั้งนี้ก็ด้วยความเชื่อว่ามันจะทำให้ความรู้สึกพร่องที่แท้หมดไป ความรู้สึกพร่องที่เกิดจากช่องว่าง ระหว่างความฝันกับความเป็นจริงนั้นขอเรียกว่า ความรู้สึกพร่องเทียม เพราะเกิดจากความคิดปรุงแต่งมากกว่าอะไรอื่น” </div><div align="justify"><br />ดังจะเห็นที่ท่าน พระไพศาล วิสาโล เขียนกล่าวเอาไว้อย่างน่าคิดทีเดียว โดยเฉพาะที่บอกไว้ว่า “ความรู้สึกพร่องเทียม” เป็นที่น่าสังเกตสำหรับผมที่ว่า ความรู้สึกพร่องเทียมนี้ เมื่อสมัยอดีตคนเราคงจะไม่มีมากเท่าสมัยนี้ คุณผู้อ่านคงจะสงสัยอยู่บ้างว่า แล้วความรู้สึกพร่องเทียมมันเป็นอย่างไร และ ความรู้สึกพร่องแท้ล่ะ มันเป็นอย่างไรกัน </div><div align="justify"><br />คนสมัยก่อนก็จะมีความรู้สึกพร่องด้วยเช่นกัน แต่จะเป็นความรู้สึกพร่องแท้มากกว่า เช่น เรื่องของความตาย เราทุกคนรู้ว่าสักวันเราต้องตายกันทุกคน ซึ่งเป็นความรู้สึกพร่องแท้ของทุกคนที่รู้ว่าตัวเองต้องตาย และมีเพรียงศาสนาที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเราไว้ให้ความรู้สึกพร่องแท้นั้นหายไปได้ แต่ปัจจุบันนี้ในยุคบริโภคนิยม คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยนึกถึงในเรื่องของความรู้สึกพร่องแท้มากเท่าไร คือ เรื่องของความตายที่ทุกคนต้องตายกัน แต่กลับนึกถึงในเรื่องของวัตถุ การบริโภค เป็นเรื่องสำคัญมากกว่า เห็นคนอื่นเขามีทำให้เรารู้สึกพร่อง และอยากมีบ้าง เห็นคนอื่นเขาสวย เราก็อย่างสวยบ้างจึงไปทำศัลยกรรมตกแต่งแทบจะทั่วร่างกายในบางคน เห็นคนอื่นเขาแต่งตัวทันสมัยมียี่ห้อ ทำให้เรารู้สึกพร่องอยากมีบ้างจริงไปซื้อมาสวมใส่เพื่อยกระดับตัวตนของเราให้เท่าเทียมกันหรือสูงกว่า นี่แหละคือ ความรู้สึกพร่องเทียม ที่ท่านไพศาล วิสาโล เคยกล่าวเอาไว้ และอะไรล่ะที่ทำให้ความรู้สึกของคนเราบกพร่องอยู่เสมอในยุคปัจจุบันนี้ ท่านไพศาล วิสาโล ท่านได้ใช้คำได้ที่น่าสนใจอย่างยิ่งอีกเช่นกันคือ “วัฒนธรรมความร่ำรวย” ท่านกล่าวเขียนไว้น่าคิดอีกว่า </div><div align="justify"><br />“วัฒนธรรมความร่ำรวย วัฒนธรรมดังกล่าวถือว่าความร่ำรวยเป็นของดี และถือว่าชีวิตที่ดีคือชีวิตที่ต้องรวยขึ้น มีเงินและทรัพย์สมบัติมากขึ้น ค่านิยมภายใต้วัฒนธรรมนี้คือการอวดมั่งอวดมี และการประชันขันแข่งในเรื่องบริโภค แน่นอนว่าแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังวัฒนธรรมนี้ก็คือทัศนะแบบวัตถุนิยม ที่เห็นว่าความสุขอยู่ที่วัตถุและสิ่งเสพ ขณะเดียวกันก็มีแนวคิดเรื่องความก้าวหน้าควบคู่ไปด้วย ดังนั้นจึงทำให้เกิดความเชื่อว่าคนเราต้องแสวงหาความก้าวหน้าในชีวิตด้วยการมีทรัพย์มากขึ้น มีเงินเดือนสูงขึ้น มีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายเพิ่มขึ้น และมีสิ่งใหม่ๆ มาไว้ในครอบครองมากด้วย (โดยเฉพาะเทคโนโลยีล่าสุด) วัฒนธรรมความร่ำรวยดังกล่าวทำให้ผู้คนคิดแต่จะสะสมและแสวงหา ทำงานหาเงินไม่รู้จักหยุดหย่อนและปรารถนารายได้เพิ่มมากขึ้น แต่ได้มาเท่าไรก็ไม่รู้จักพอ เพราะยังมีสิ่งที่ต้องการอีกมากหลาย ยิ่งเห็นคนอื่นรวยกว่าตน ก็ยิ่งรู้สึกด้อย จำต้องหาดิ้นรนให้ทัดเทียมหรือล้ำหน้ายิ่งกว่า แต่ถึงจะล้ำหน้าใครต่อใคร ก็ยังมีคนอื่นที่ไปไกลกว่าตน จึงต้องขวนขวายต่อไป วัฒนธรรมความร่ำรวยจึงนำผู้คนทั้งโลกไปสู่ความทุกข์ เพราะมันทำให้คนทั้งโลกสำคัญตนว่ายากจน ไม่เว้นแม้แต่คนมั่งมี ใช่แต่เท่านั้นยังทำให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบและกดขี่กัน ยังผลให้มีคนจำนวนมหาศาลยากจนลง เดือดร้อนมากขึ้น แต่ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน ต่างก็กลายเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เห็นซึ่งกันและกันเป็นเหยื่อหรือศัตรู สร้างความทุกข์แก่กันและกัน ทั้งนี้เพียงเพื่อจุดหมายประการเดียวนั่นคือความร่ำรวยมั่งคั่ง ปัจจุบันผู้คนถูกตีกรอบให้มองตนเองเป็นเพียงแค่ผู้บริโภค แม้จะทำให้ชีวิตของเราสะดวกสบายขึ้นแต่หาได้ช่วยให้มีความสุขเพิ่มขึ้นไม่ อีกทั้งบ่อยครั้งก็ไม่ได้ช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นเลย นอกจากนั้นยังกลับทำให้ชีวิตขาดความลุ่มลึก เพราะท่าทีแบบผู้บริโภคทำให้เราต้องการเพียงแค่สิ่งปรนเปรอผัสสะทั้ง ๖ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) หรือความสะดวกสบายเท่านั้น ดังนั้นความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ จึงเป็นไปอย่างฉาบฉวยเพราะคิดแต่เรื่องกำไร ขาดทุน ได้เสีย เท่านั้น บทสรุปดังกล่าวก็คือ ลัทธิบริโภคนิยม และการมองตนเองเป็นแค่ผู้บริโภคนั้น ได้ตีกรอบความคิดและการกระทำของเราให้แคบและฉาบฉวย จนกลับมาบั่นทอนชีวิตของเราเองในที่สุด” </div><div align="justify"><br />จะเห็นว่าท่านกล่าวไว้น่าคิดอย่างมีประโยชน์มาก ให้แง่คิดเรา ให้เราได้รู้ทันในลัทธิสังคมบริโภคนิยมนี้ อาจจะว่าไปแล้วทุกคนส่วนใหญ่ต้องการแสวงหาความมั่งคั่ง ความร่ำรวย จากภายนอกกัน แต่ความมั่งคั่งและความร่ำรวยจากภายในหามีใช้น้อย ดังที่ผมเขียนไว้ในหัวข้อบทนี้ไว้ว่า “สังคมที่มั่งคั่งในยุคบริโภค คือ สังคมที่มีความทันสมัย มีความสะดวกสะบาย และก้าวหน้าในยุคบริโภคปัจจุบันนี้ แต่...! ผมก็จงใจที่จะขีดคั่นไว้อย่างเป็นสัญวิทยา ไว้ในหัวข้อบทนี้ที่ว่า “จิตใจที่มั่งคั่งในยุคบริโภค” ที่คนส่วนใหญ่มิค่อยมีใครใส่ใจกันมากนักในยุคบริโภคปัจจุบันนี้</span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-48731461481111555432007-08-07T02:51:00.000-07:002007-08-07T08:01:25.567-07:00เราเป็นได้แค่ผู้บริโภคหรือเราสามารถเป็นได้มากกว่านั้น<div align="justify"><span style="font-family:arial;">ครับผู้อ่านพอจะคิดได้ กับหัวข้อของบทนี้ แน่นอนครับเราสามารถเป็นได้มากกว่าการเป็นผู้บริโภคอย่างเดียว และอีกเช่นกัน เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ในยุคปัจจุบันนี้ที่จะหนีการบริโภคนิยมไป การที่มนุษย์เราเป็นผู้รู้จักเลือก รู้จักคิด รู้จักคัดสรรค์ และการเป็นผู้บริโภคที่ชาญฉลาดที่ดีนั้น เป็นสิ่งที่ดี แต่ในเวลาเดียวกันเราก็สามารถเป็นได้มากกว่านั้นด้วย มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถพัฒนาไปได้มากกว่านั้นด้วย มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถพัฒนาไปได้อย่างไม่สิ้นสุด คนสมัยโบราณ การทำอะไรด้วยตัวเอง มีความหมายมากกว่าการจ้างให้คนอื่นเขาทำ การทำด้วยตัวเองหรือร่วมกันทำ จะมีมิติของทางจิตใจประทับมาด้วยในตัวตนของแต่ละคน เช่น การทำอาหารทานกันเองในครอบครัวช่วยสร้างความสัมพันธ์ได้ในครอบครัว แต่การใช้เงินตราแทนการทำกิจกรรมของตนเอง หรือร่วมกันในบางอย่างทำให้เราขาดมิติทางใจเกิดขึ้น หรือการใช้เงินตราและการครอบครองวัตถุเป็นส่วนที่ทำให้ตัวเรารู้สึกมีอำนาจขึ้น หรือมีตัวตนเพิ่มขึ้นมาได้กระนั้นหรือ นี่คงเป็นคำถามที่น่าสนใจอยู่บ้าง การสวมใส่ชุดที่ดาราดังสวมใส่ตามโฆษณา ทำให้เรารู้สึกยกระดับตัวตนของเราขึ้นมาได้บ้าง บุคคลจะรู้สึกว่าเพิ่มพูนขึ้นหรือได้สถานะภาพใหม่เพียงแต่ซื้อด้วยเงินตราในยุคบริโภคนิยม ถ้าจะมองในแง่ร้ายหน่อย จะถือได้ไหมว่า “การบริโภคนิยมกำลังจะกายเป็นศาสนาใหม่ไปแล้ว” </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />ไม่มีสังคมใดไม่มีศาสนา อะไรที่เกี่ยวกับมนุษย์มากพอ ก็ต้องเกี่ยวกับศาสนาไปด้วย อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์คือ สัตว์ที่มีศาสนา ก็ได้ ไม่ว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะก้าวหน้าเพียงใด มนุษย์ก็ยังต้องการศาสนาอยู่นั่นเอง แต่ทัศนะของศาสนาลึกๆ แล้วเรารู้ว่าไม่มีตัวตนจับต้องไม่ได้ ปัญหาเกิดขึ้นตรงที่มนุษย์นั้นปรารถนาที่จะมีตัวตนคงที่ยั่งยืน แต่เมื่อรู้สึกลึกๆว่าไม่มีตัวตนใดๆ จะให้ยึดถือได้ ก็เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงขึ้นมา ในด้านหนึ่งจึงยิ่งพยายามไขว่คว้าหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมายึดให้แน่นขึ้น และแน่นอนว่าย่อมเป็นสิ่งซึ่งดูยั่งยืนมั่นคง พระเจ้า ศาสนา ประเทศชาติ หรือระบอบคอมมิวนิสต์ในสมัยหนึ่ง อาจสนองความรู้สึกนี้ได้ไม่มากก็น้อย ดังกล่าวแล้วข้างต้น ลึกๆแล้วสิ่งที่ทำให้มนุษย์เรามีความรู้สึกที่ไม่มั่นคงนั่นก็ คือ การกดความรู้สึกนี้ไว้ให้อยู่ในจิตไร้สำนึกเสีย หรือปฏิเสธความรู้สึกดังกล่าวตามหลักจิตวิทยา สิ่งใดที่ถูกกดเอาไว้ในจิตไร้สำนึก จะผุดขึ้นมาสู่จิตสำนึกในรูปลักษณ์ใหม่ที่กลายสภาพหรือบิดเบี้ยวในทำนองเดียวกัน ความรู้สึกหรือสงสัยว่าตัวตนไม่มีอยู่จริงนี้ เมื่อถูกกดเอาไว้ก็จะผุดขึ้นมาเป็นอาการความรู้สึกไม่มั่นคง ง่อนแง่น คับข้อง กระวนกระวาย ซึ่งเรียกว่า “ความรู้สึกพร่อง” ดังที่กล่าวมาแล้วในบทก่อน ความรู้สึกดังกล่าวคอยรบกวนจิตใจเสมอ เพราะทำให้รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ ที่ขาดหายไป ทำให้จิตไม่สงบสุข คอยแต่จะหาสิ่งที่มาทำให้ชีวิตมั่นคงเต็มอิ่ม ขณะเดียวกันเมื่อไม่ยอมรับว่าตัวตนไม่มีอยู่จริง จิตก็ยิ่งดิ้นรนหาทางทำให้ตัวตนนั้นจริงขึ้นมาให้ได้ ด้วยการไปยึดอะไรบางอย่างมาเป็นตัวตน หรือเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมารองรับค้ำจุนภาพตัวตน นี่เป็นคำกล่าวทัศนะของ “เดวิด ลอย” (นักจิตวิทยาคนสำคัญคนหนึ่ง) </div><div align="justify"><br />ในทัศนะของ เดวิด ลอย ความรู้สึกพร่องนี้เองเป็นแรงผลักดันสำคัญอย่างยิ่ง ที่ทำให้มนุษย์แสวงหาศาสนา และถึงแม้ในปัจจุบันศาสนาจะถูกลดความสำคัญลงบ้าง ก็เพราะมีสิ่งอื่นมาทำหน้าที่ศาสนาแทน นี้คือคำตอบว่า ทำไมผู้คนในยุคสมัยใหม่ จึงยึดถือชาติหรือบริโภคนิยมราวกับเป็นศาสนาหนึ่ง เดวิด ลอยชี้ว่า คนในปัจจุบัน เข้าหาชาติและบริโภคนิยม ด้วยเหตุผลเดียวกับที่คนสมัยก่อนรวมทั้งเวลานี้ เข้าหาศาสนา นั่นคือเพื่อบรรเทาความรู้สึกพร่องคับข้องไม่สมหวังเต็มอิ่มในตัวตน ซึ่งเป็นความรู้สึกไม่มั่นคงพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ ผู้คนยึดถือชาติมิใช่แค่เป็นที่ยึดเหนี่ยวปกป้องภัยเท่านั้น หากยังเพราะคิดว่า การเอาตนไปอิงไว้กับชาติ อันเป็นสิ่งที่ดูยิ่งใหญ่มั่นคงนั้น จะช่วยให้ตนเกิดความรู้สึกมั่นคงตามไปด้วย หรือให้ความรู้สึกที่ลึกไปกว่านั้นคือรู้สึกว่าตัวตนมีจริงด้วย ส่วนบริโภคนิยมนั้นก็อธิบายว่าความรู้สึกพร่องที่รบกวนจิตใจนั้น เป็นเพราะยังมีไม่พอ ดังนั้นจึงต้องแสวงหามาไว้ในครอบครองให้มาก เพื่อชีวิตจะได้เต็มอิ่ม ขณะเดียวกัน การยึดติดในวัตถุโภคทรัพย์ ก็เป็นความพยายามที่จะหาฐานรองรับตัวตน ที่มีลักษณะเที่ยงแท้มั่นคง เพื่อทำให้ตัวตนเป็นจริงมากขึ้น แม้แต่เงินก็มีนัยลึกซึ้งทางจิตใจเช่นกัน เพราะมันเป็นเครื่องหมายของความอมตะ การไปยึดถือเงินเป็นตัวตนย่อมทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนนั้นจริงมากขึ้น นี่เป็นแนวคิดตามหลักจิตวิทยาของการหาสิ่งทดแทนยึดเหนี่ยวของ เดวิด ลอย </div><div align="justify"><br />อย่างไรก็ตามถึงที่สุดแล้ว ตามทัศนะของท่าน พระไพศาล วิสาโล กล่าวไว้อย่างน่าฟังและน่าคิดที่ว่า “ชาตินิยมและบริโภคนิยม ก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการ ทางจิตวิญญาณลึกๆได้จริง เพราะไม่สามารถทำให้ผู้คนเกิดความมั่นใจว่าตัวของตนนั้นมีอยู่จริงไม่ จึงไม่สามารถบรรเทาความรู้สึกพร่องคับข้องใจได้ เพราะไม่ว่าชาติ หรือทรัพย์สิน เงินทอง ก็ล้วนเป็นสิ่งไม่ยั่งยืน ไม่ใช่ตัวตน และไม่สามารถมายึดถือเป็นตัวตนได้ การยึดเอาสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน หรือยึดถือสิ่งซึ่งไม่อาจยึดถือได้ จึงรังแต่จะทำให้ผิดหวังและเกิดความทุกข์ยิ่งขึ้น ดังนั้นถึงแม้ผู้คนจะยึดถือชาตินิยมและบริโภคนิยมดังเหมือนศาสนาหนึ่ง และแม้ชาตินิยมและบริโภคนิยมจะทำหน้าที่ดังศาสนาก็ตามที สามารถแก้ปัญหาของมนุษย์ได้หลายเรื่อง แต่เมื่อมาถึงปัญหาตัวตนในระดับที่ลึกซึ้งลงไปแล้ว มันไม่สามารถทำหน้าที่ศาสนาได้อย่างแท้จริง ทำได้อย่างมากเพียงระงับความรู้สึกพร่องคับข้องใจไปชั่วคราวเท่านั้น” </div><div align="justify"><br />พระไพศาล วิสาโล ยังกล่าวไว้อีกว่า “แม้ว่าบริโภคนิยมจะไม่สามารถแทนที่ศาสนาได้ เพราะไม่สามารถขจัดความทุกข์ในระดับจิตวิญญาณลึกๆ ของผู้คนได้ แต่อิทธิพลอันมหาศาลมากของการบริโภคนิยม ที่สามารถเบียดขับศาสนาให้หดตัวและถอยร่น มาอยู่ในมุมเล็กๆ ของชีวิตและสังคมได้ หาไม่ก็ครอบกลืนให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของบริโภคนิยม หรือเป็นร่างทรงของมันเท่านั้น ทุกวันนี้บริโภคนิยมได้แพร่ขยายจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และจิตใจของผู้คนทั่วทั้งโลกยิ่งกว่าศาสนาใดๆไปแล้ว ยิ่งมีเครือข่ายดาวเทียมเป็นเครื่องมือด้วยแล้ว ศาสนาบริโภคนิยมก็สามารถประกาศลัทธิไปทั่วทุกมุมโลกแม้ในพื้นที่ ที่เข้าไปไม่ถึงได้ ด้วยเหตุนี้ หากต้องการให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น นอกจากการเป็นผู้บริโภคที่ชาญฉลาด สำนึกถึงพลังของตนเอง หรือปัญญาของตนเอง หรือคำนึงถึงธรรมชาติแวดล้อมแล้ว เรายังควรไปพ้นจากการเป็นผู้บริโภคด้วย แทนที่จะคิดแต่ซื้อก็ลองทำเองบ้าง ช่วยกันทำบ้าง หรือแลกเปลี่ยนกันบ้าง” </div><div align="justify"><br />อย่างไรก็ตาม จะทำเช่นนั้นได้ดี ผมจึงหยิบยกประเด็นที่ท่านพระไพศาล วิสาโล ได้เคยเขียนให้ไว้เป็นแนวทางในยุคบริโภคนิยมนี้ได้อย่างน่าคิดและกระทำ ซึ่งมีอย่างน้อย ๒ อย่างที่ควรทำไปด้วยกัน คือ </div><div align="justify"><br />ประการแรกการ ฟื้นความสามารถในการพึ่งตนเอง ทุกวันนี้ความสามารถดังกล่าวของเราถูกบั่นทอนจนเราทำอะไรเป็นไม่กี่อย่าง ที่เหลือต้องใช้เงินซื้อเอาหมด แม้แต่การรักษาสุขภาพและดูแลตนเอง เราก็ทำไม่เป็น เจ็บป่วยก็ต้องพึ่งหมอสถานเดียว พูดง่ายๆ ก็คือ คุณภาพชีวิตและความสุขของเราถูกฝากไว้กับท้องตลาดแทบสิ้นเชิง การฟื้นความสามารถในการพึ่งตนเองหมายถึงการเอาคุณภาพชีวิตและความสุขของเรากลับมาอยู่ในกำมือของตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณภาพชีวิตอันหมายถึง ปัจจัยสี่ สุขภาพ และการศึกษานั้นเป็นสิ่งที่เราสามารถทำขึ้นเองได้แม้ไม่ทั้งหมด ส่วนความสุข เราทุกคนก็มีความสามารถที่จะสรรค์สร้างได้ทั้งนั้น โดยไม่ต้องใช้เงินซื้อหาหรือเข้าศูนย์การค้าเลย เช่น ความเพลิดเพลินกันในครอบครัว วาดรูป ตกแต่งสวน หรือทำสมาธิภาวนารวมกัน อุปสรรคที่ทำให้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะในเมืองไม่สามารถพึ่งตนเองได้ก็คือ ไม่มีเวลา และไม่สะดวก แต่ถ้าเราใช้ชีวิตให้ช้าลง ไม่เร่งรีบบีบรัดตัว ตัดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นออกไป ก็จะมีเวลามากขึ้น ส่วนความไม่สะดวกนั้นเป็นเพราะเราติดสบายและต้องการอะไรเร็วๆ การทำอาหารหรือปลูกผักเองจึงไม่สะดวกเท่ากับไปซื้อจากร้าน แต่ถ้าลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ แทนที่จะถือเป็นภาระ ให้มองเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ ฝึกสมาธิจากการทำอย่างเนิบช้าไม่เร่งรัดหวังผลไม่นานความเพลิดเพลินจะมาแทนที่ความรู้สึกไม่สะดวกไปเอง อย่างไรก็ตามระบบบริโภคนิยมจะไม่ยอมให้เราพึ่งตนเองได้ง่ายๆ มันจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้เรากลับไปเป็นนักช็อปปิ้งเหมือนเดิม เช่น ดูถูกดูแคลนการพึ่งตนเองว่าเป็นเรื่องถอยหลังเข้าคลอง ไม่โก้เก๋สมยุคโลกาภิวัตร หาไม่ก็ล่อหลอกด้วยการเสนอ “ทางลัด” หรือสิ่งสำเร็จรูปซึ่งถูกจริตคน </div><div align="justify"><br />ประการที่สอง ต่อมาคือการฟื้นความสามารถในการพึ่งกันเอง แม้เราไม่สามารถพึ่งตนเองไปได้หมดทุกอย่างแต่การพึ่งพากันเองก็ช่วยทำให้เราเป็นอิสระจากระบบบริโภคนิยมได้มากขึ้น การพึ่งพาช่วยเหลือกันนั้นเป็นธรรมเนียมดั้งเดิมของไทยจนเกิดเป็นกลุ่มประเพณีมากมายหลายแบบ การรวมกลุ่มช่วยเหลือกันตลอดจนการรวมกันเป็นชุมชนนั้น สามารถให้สิ่งซึ่งความสัมพันธ์แบบผู้ซื้อ-ผู้ขายให้ไม่ได้ นั่นคือ ความเอื้อเฟื้อ ความเข้าอกเข้าใจ การมีส่วนร่วม การได้ใช้ศักยภาพในทางสร้างสรรค์ คุณค่าเหล่านี้คือสิ่งที่ชีวิตต้องการ ช่วยให้เกิดความงอกงามแก่จิตใจ และที่สำคัญคือทำให้เกิดความสุข เป็นเพราะคนทุกวันนี้ไม่ได้รับสิ่งดังกล่าว จึงรู้สึกพร่องในชีวิต และโหยหาไม่รู้จบ จนไปหลงติดอยู่กับคุณค่าอันฉาบฉวยที่ระบบบริโภคนิยมเสนอให้ ได้แก่ ความหลากหลายน่าตื่นเต้น ความเพลิดเพลินสะดวกสบาย อำนาจ สถานภาพ และเสรีภาพ คุณค่าทั้ง ๔ ประการนี้แหละ ที่เป็นเสน่ห์ของระบบบริโภคนิยมที่ดึงดูดให้ผู้คนยอมอยู่ในอำนาจของมันถึงจะเป็นคนหัวก้าวหน้าแต่ก็อยากใส่โรเล็กซ์ขี่เบนซ์เพราะมันเพิ่มสถานภาพทางสังคมให้สูงขึ้น ขณะที่เครื่องยนต์อันทันสมัยกลไกต่างๆ จะช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายแล้ว ยังทำให้รู้สึกว่าตนมีอำนาจในการควบคุมบางสิ่งบางอย่างได้มากขึ้น พร้อมกันนั้นความหลากหลายของสินค้าก็หนุนเสริมให้เกิดความรู้สึกว่าตนมีอิสรภาพในการเลือกทั้งๆ ที่เป็นแค่อิสรภาพจำแลงมาก็ตาม <em><span style="font-size:85%;">(โปรดดูใน พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต พระไพศาล วิสาโล ๒๕๔๖)</span></em> </div><div align="justify"><br />ตราบใดที่ผู้คนต่างยึดถือตนเองสำคัญมากกว่าส่วนร่วม ต่างก็ต้องแก่งแย่งกันอยู่ ก็ง่ายที่จะต้องมนต์เสน่ห์ของบริโภคนิยม แต่ถ้าผู้คนมารวมกลุ่มช่วยเหลือกันความสัมพันธ์ดังกล่าวจะช่วยให้เราได้รับสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าที่บริโภคนิยมจะให้ได้ คุณค่าต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น อาทิ ความเอื้อเฟื้อ ความเข้าอกเข้าใจ </span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-21652277909971185022007-08-07T02:50:00.000-07:002007-08-07T08:04:01.767-07:00วิทยาศาสตร์กับศาสนา (จุดต่างหรือจุดเหมือน)<div align="justify"><span style="font-family:arial;">ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “ศาสนา” (Religion) เป็นสิ่งหนึ่งที่คอยยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์เราตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตามที่มีอยู่ในโลกนี้ต่างก็พร่ำสอนให้คนเป็นคนดี ปฏิบัติตนอยู่ในทำนองคลองธรรมกันทั้งนั้นอาจจะมีส่วนน้อยที่แบ่งแยกตนออกไปเป็นลัทธิ มีความเชื่อผิดแผกไปบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็เน้นให้คนเห็นความสำคัญของการดำรงตนเป็นคนดีของทุกคนและสังคม </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />แต่ในภาวะปัจจุบันที่โลกมีแต่เทคโนโลยีล้ำหน้าไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีทางการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะเทคโนโลยีชีวภาพ ที่ล้ำหน้าเสียจนคนก้าวตามแทบไม่ทัน นำความเปลี่ยนแปลงหลากหลายประการมาสู่ชีวิตมนุษย์ โดยเริ่มตั้งแต่สมัยแรกๆ ที่นักวิทยาศาสตร์สามารถล่วงรู้ว่า “ยีน” (Gene) หรือหน่วยพันธุกรรมเป็นหัวใจหลักของการควบคุมการแสดงออกของลักษณะต่างๆ ในสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ และมนุษย์ ทั้งยังสามารถวิเคราะห์ถึงโครงสร้างของยีนได้อย่างกว้างขวาง และสามารถสังเคราะห์ชิ้นส่วนยีนรวมถึงถ่ายฝากยีนของสิ่งมีชีวิตหนึ่งให้กับสิ่งมีชีวิตอื่นได้หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อของ “พันธุวิศวกรรม” (Genetic Engineering) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทำการเคลื่อนย้ายยีนจากสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์หนึ่งไปสู่สิ่งมีชีวิตอีกสายพันธุ์หนึ่ง ก่อให้เกิดความคิดริเริ่มในสร้างสิ่งมีชีวิตรูปแบบใหม่ที่มียีนลูกผสมแบบใหม่ ในคุณลักษณะแบบใหม่ซึ่งไม่เคยปรากฏในธรรมชาติมาก่อน ด้วยความมุ่งหมายที่จะปรับปรุงคุณลักษณะของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ ให้ดีกว่าเดิม เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรม สนองความต้องการของมนุษย์ในด้านการอุปโภคและบริโภคที่สูงขึ้น เช่น การพัฒนาพันธุ์สัตว์ การปรับปรุงพันธุ์พืชให้ต้านทานโรคและแมลง การพัฒนาพันธุ์พืชให้มีคุณภาพผลผลิตดี การพัฒนายารักษาโรคและวัคซีนที่ไม่เคยทำได้ในยุคก่อนหน้านี้ </div><div align="justify"><br />ทว่านักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนว่าการนำเทคโนโลยีชีวภาพเหล่านี้มาใช้ จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ อาทิ ผลผลิตจะมีพิษภัยต่อสุขภาพคนและสัตว์หรือไม่ ยีนเหล่านี้จะมีโอกาสกลายพันธุ์เป็นยีนก่อโรคหรือไม่ ยีนเหล่านี้จะมีโอกาสหลุดรอดออกไปสู่สิ่งมีชีวิตอื่นได้หรือไม่ ฯลฯ เพราะฉะนั้นความเชื่อทางศาสนาจึงก้าวมามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้มุมมองผลกระทบทางเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นหลักสำคัญประการหนึ่งที่จะช่วยแสดงถึงมิติแห่งการรับรู้ และกำหนดขอบเขตการยอมรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ของสังคม เพราะความเชื่อทางศาสนานั้นมักเป็นความเชื่อที่อยู่บนรากฐานของการยอมรับในกฎแห่งธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อที่เกี่ยวกับมนุษย์ </div><div align="justify"><br />ความรู้ในทางศาสนาแม้จะมีรากฐานอันเดียวกันกับวิทยาศาสตร์ กล่าวคือ ตั้งอยู่บนความเชื่อแบบ มนุษย์นิยมเหมือนกัน แต่ท่าทีที่ศาสนามีต่อธรรมชาติแตกต่างจากท่าทีของวิทยาศาสตร์ แม้ว่านักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายจะไม่ประกาศท่าทีของเขาต่อธรรมชาติอย่างแจ้งชัด แต่จากลักษณะการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ เราก็พอมองเห็นได้ว่าคนเหล่านี้คิดเช่นไรต่อสิ่งต่างๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์บางแขนง เช่น ชีววิทยา สัตว์จำนวนหนึ่งจะถูกนำมาทรมานให้เจ็บปวด เคยมีคนเขียนหนังสือบรรยายสภาพของสัตว์ที่ถูกนำมาทดลองว่าน่าสมเพชเวทนาอย่างยิ่ง สัตว์เหล่านี้บ้างก็พิกลพิการ บ้างอยู่ในภาวะหวาดผวาจนเสียสติ บ้างก็ล้มตายลงด้วยโรคร้ายอันเกิดจากสารเคมีที่นักวิทยาศาสตร์ฉีดเข้าไปในร่างกายของมัน ที่นักวิทยาศาสตร์ทำเช่นนั้นอาจมีเหตุผลเพื่อความผาสุกของมนุษยชาติโดยส่วนรวม การทดลองเหล่านี้ล้วนเป็นไปเพื่อค้นหาสิ่งมาอำนวยความสะดวกสบายและการมีสุขภาพที่ยืนยาวสำหรับมนุษย์ ในที่นี้เราจะไม่อภิปรายกันว่าจุดประสงค์ดังกล่าวนี้มีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ที่จะลบล้างบาปกรรมที่มนุษย์กระทำต่อสัตว์ที่ไม่มีทางสู้เหล่านั้น ประเด็นที่เราจะพิจารณากันก็คือ การที่คนเราสามารถทำทารุณกรรมต่อสัตว์ตาดำๆ เหล่านั้นได้สะท้อนให้เห็นว่า มนุษย์ที่ทำการทดลองบนความเจ็บปวดทรมานของสัตว์พวกนั้นคิดว่าตนเอง คือ “นายของธรรมชาติ” เมื่อเป็นนายย่อมไม่แปลกที่เราจะทำอะไรก็ได้กับสิ่งที่เราครอบครองเป็นเจ้าของนั้น ความคิดที่ว่าคนคือนายของธรรมชาตินี่เอง ที่ผลักดันให้วิทยาศาสตร์ก้าวล้ำเข้าไปในอาณาเขตที่น่าวิตก ปัจจุบันวิชาชีววิทยาก้าวหน้าไปมาก มนุษย์สามารถควบคุมให้พืชหรือสัตว์เจริญเติบโตไปในทิศทางและรูปแบบที่ตนต้องการ มีคนคิดผสมพันธุ์แปลกๆ แปลกถึงขนาดมีการคิดผสมพันธุ์พืชและสัตว์เข้าด้วยกัน และด้วยพื้นฐานความคิดที่ว่าตนคือนายของธรรมชาตินี่เองที่ก่อให้เกิดโครงการที่น่าเกรงกลัวอย่างยิ่ง เช่น โครงการเพาะพันธุ์มนุษย์แบบไม่อาศัยเพศ หรือที่เรียกว่า “โครนนิ่ง” เป็นต้น </div><div align="justify"><br />เป็นที่ทราบกันดีว่า การสืบพันธุ์โดยอาศัยเพศ (sexual reproduction) อันเป็นวิธีการแบบธรรมชาติที่คนเรากระทำกันอยู่นี้ไม่สามารถคงคุณสมบัติบางประการที่เราต้องการไว้ได้ อัจฉริยะอย่างเช่นไอน์สไตน์เมื่อมีลูกก็ไม่จำเป็นว่าลูกของเขาจะเป็นอัจฉริยะด้วย นักวิทยาศาสตร์ใฝ่ฝันมานานว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถถ่ายทอดคุณสมบัติที่หาได้ยากของพ่อแม่ไปสู่ลูก หากเราค้นพบวิธีถ่ายทอดคุณสมบัติดังกล่าวนี้ อัจฉริยะบุคคลทั้งหลายจะมีชีวิตเป็นอมตะ </div><div align="justify"><br />ความรู้ในโลกนี้แบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทหนึ่งรู้แล้วเป็นประโยชน์แก่ชีวิต ส่วนอีกประเภทหนึ่งรู้แล้วไม่เป็นประโยชน์ ความรู้ที่พุทธศาสนาเลือกนำมาสอนนี้ คือ ความรู้ประเภทแรกเท่านั้น ส่วนประเภทที่สองแม้จะรู้ก็ไม่นำมาสอนและหากจะเปรียบเทียบกันแล้วจะเห็นว่า ความรู้ที่เป็นประโยชน์นั้นมีน้อยมากความรู้ส่วนใหญ่ไม่เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ ความเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์วัดจากอะไร คำตอบคือ ความรู้ใดไม่ส่งเสริมให้เราเข้าถึง “บิ๊กแบงภายในใจ” (ผู้เขียนเปรียบเทียบขึ้นมาเอง) นิพพาน หรือ ความสิ้นทุกข์ ความรู้นั้นถือว่าไม่เป็นประโยชน์ในแนวพุทธศาสนา </div><div align="justify"><br />ดังนั้นในขณะที่เรากำลังชื่นชมวิทยาศาสตร์ว่ามีคุณอเนกอนันต์ เราต้องไม่ลืมว่าในขณะเดียวกันสิ่งนี้ก็มีโทษมหันต์ด้วย และก็เช่นเดียวกัน เมื่อเรากำลังวิพากษ์วิจารณ์ว่าวิทยาศาสตร์ คือ ต้นตอของปัญหาที่กำลังคุกคามสันติภาพในโลกคุกคามความสมดุลทางธรรมชาติ ทำให้โลกเสียสมดุล ทำให้คนมีจิตใจเป็นเครื่องจักร ทำให้สะดวกสบายจน หลงใหลในสิ่งฉาบฉวยมากกว่าแก่นของชีวิตเป็นต้น เราต้องไม่ลืมว่าวิทยาศาสตร์ ก็มีคุณูปการอันไม่อาจประมาณได้แก่มนุษย์ด้วยเช่นกัน </div><div align="justify"><br />วิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่ศึกษาเรื่อง “สสารนิยม” เรื่องที่สามารถรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส ดังนั้นรากฐานทางอภิปรัชญาของวิชาวิทยาศาสตร์จึงได้แก่ แนวคิดแบบ สสารนิยม เนื้อหาของวิชาวิทยาศาสตร์ทุกสาขาเกี่ยวข้องกับเรื่องของสสารเท่านั้น ไม่มีเนื้อหาของวิทยาศาสตร์ส่วนใดหรือสาขาใดที่กล่าวถึงสิ่งที่ไม่ใช่สสาร จริงอยู่ที่บางครั้งวิทยาศาสตร์อาจกล่าวถึงสิ่งเร้นลับที่วิทยาศาสตร์เองไม่สามารถอธิบายได้ว่ามาจากไหนในเบื้องสุด เช่น สนามแม่เหล็ก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อิเล็กตรอน เป็นต้น แต่สิ่งเหล่านี้วิทยาศาสตร์ก็เชื่อว่ามีฐานะเป็นสสาร หรือไม่ก็เป็นการแสดงตัวของสสาร นักวิทยาศาสตร์บางคน เช่น นิวตัน เชื่อในสิ่งเร้นลับที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ เช่น พระเจ้า , จิต , วิญญาณ เป็นต้น นักวิทยาศาสตร์อาจมีความเชื่อส่วนตัวอย่างไรก็ได้ เพราะเขาคือมนุษย์คนหนึ่งที่เกิดมาท่ามกลางผู้คนและขนบธรรมเนียมประเพณี นิวตันเกิดมาในสังคมที่คริสต์ศาสนามีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของผู้คน นิวตันไม่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียวที่เชื่อในพระเจ้า เขายังเป็นมนุษย์ที่สามารถถูกหล่อหลอมด้วยแนวคิดทางศาสนา การเป็นนักวิทยาศาสตร์เป็นเพียงด้านหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นิวตันจะเชื่อเรื่อง พระเจ้า แต่เมื่อนิวตันจะเสนอแนวคิดใดก็ตามในทางวิทยาศาสตร์เขาต้องพักความเชื่อส่วนตัวไว้ก่อน วิชาวิทยาศาสตร์ไม่อนุญาตให้เราใส่เรื่องที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยประสาทสัมผัสลงในเนื้อหาของวิชาวิทยาศาสตร์ ดังนั้นแม้ว่านิวตันจะเชื่อเรื่องพระเจ้า แต่เขาจะเอาเรื่องนี้มาปนลงในวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่นิวตันเสนอแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ออกมาก แนวคิดนั้นจะกลายเป็นของสาธารณะ และ มีฐานะเป็นส่วนหนึ่งของวิชาวิทยาศาสตร์ รากฐานทางอภิปรัชญาของวิทยาศาสตร์คือแนวคิดแบบสสารนิยม ดังนั้นใครก็ตามหากต้องการเสนอความคิดทางวิทยาศาสตร์ออกมาเขาต้องเสนอในกรอบแนวคิดแบบสสารนิยมนี้เท่านั้น<br />ส่วนพุทธศาสนาเป็นที่ทราบกันดีว่ามีรากฐานทางอภิปรัชญาแบบ “จิตนิยม” พุทธศาสนาเชื่อว่าภายในจักรวาลนี้ นอกจากวัตถุยังมีสิ่งอื่นที่ไม่ใช่วัตถุรวมอยู่ด้วยแนวคิดแบบจิตนิยมของพุทธศาสนาอาจดูได้ง่ายๆ จากหลักคำสอนที่เรียกว่า “ขันธ์ห้า” พุทธศาสนาเชื่อว่าคนเราประกอบด้วย กาย(รูป) หนึ่ง กับอีกสี่อย่าง คือ ความรู้สึก(เวทนา) การจำ(สัญญา) การคิด(สังขาร) และการรู้(วิญญาณ) สี่ขันธ์หลังนี้ไม่ใช่สสาร หากแต่เป็นนามธรรม ดังที่กล่าวไว้ตั้งแต่บทต้นๆแล้วมา ดังนั้นในทัศนะของพุทธศาสนา การที่คนเราคิดได้ มีอารมณ์ความรู้สึก มีจินตนาการ มีความรัก ความเกลียด ความโกรธ เป็นต้น ก็เพราะเรามีจิตซึ่งแยกต่างหากจากกาย คนไม่ใช่กลุ่มก้อนของสสารอย่างที่ลัทธิสสารนิยมเชื่อกัน </div><div align="justify"><br />ความแตกต่างระหว่างรากฐานของพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์นี้เป็นเองสำคัญ มีคนอ้างบ่อยๆ ว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์บ้าง พุทธศาสนาเข้ากันได้กับวิทยาศาสตร์บ้าง การอ้างนั้นแม้จะเกิดจากความหวังดีและต้องการเชิดชูพุทธศาสนา แต่ก็เป็นเรื่องที่เราต้องระวังเช่นกัน ความรู้บางส่วนในพุทธศาสนาอาจพิสูจน์ตรวจสอบได้เหมือนความรู้ในวิทยาศาสตร์ เพราะต่างก็เป็นความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่อาจตรวจสอบด้วยประสาทสัมผัสและเหตุผลเหมือนกัน แต่นั่นก็ไม่จำเป็นว่าพุทธศาสนาจะต้องเป็นวิทยาศาสตร์ หรือเข้ากันได้กับวิทยาศาสตร์ทุกอย่างเสมอไป รากฐานของสองระบบความรู้นี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อสาวไปจนถึงที่สุดแล้ว วิทยาศาสตร์นั่นเองคือเป็นสิ่งที่ขัดแย้งอย่างรุนแรงต่อพุทธศาสนา หรือจะพูดได้อีกอย่างได้ว่า “วิทยาศาสตร์เองนั้นขัดแย้งต่อกฎธรรมชาติ!” เมื่อมีวิทยาศาสตร์ก็ต้องย่อมมีการวิจัยทดลอง จึงมีคำถามที่หน้าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า การวิจัยทดลองเป็นการทำลายชีวิตหรือไม่ </div><div align="justify"><br />จะเห็นได้ว่าการทดลองวิจัยบางอย่างในปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์โดยตรง เช่น การผสมเทียม หรือการสร้างเด็กหลอดแก้ว ซึ่งอาจจะนำไปสู่การสร้างมนุษย์คนใหม่ขึ้นมาลืมตาดูโลก แต่จากวิธีการสร้างที่ต้องสร้างตัวอ่อนขึ้นมาหลายๆตัว และเลือกไว้เพียงจำนวนที่ต้องการใช้ ขณะที่ตัวอ่อนที่เหลือจะต้องถูกกำจัดทิ้งไปในทางศาสนาแล้วถือว่าเป็นการทำลายชีวิตมนุษย์หรือไม่ ตัวอ่อนถือว่าเป็นหนึ่งชีวิตหรือไม่ นิยามเกี่ยวกับ ชีวิตมนุษย์ ของแต่ละศาสนาคืออะไร มุมมองต่อเรื่องการเกิด การตาย การทำลายสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อมนุษย์ของแต่ละศาสนาเป็นอย่างไร<br />ในยุคหนึ่งความรู้และอำนาจได้ตั้งอยู่บนฐานของกระบวนการโลกทัศน์ที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของระบบจักรวาล แต่โคเปอร์นิคัส พบว่าไม่ใช่ เพราะถ้าถืออย่างนั้นก็ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์การเคลื่อนที่ วกกลับของดาวเคราะห์ต่างๆได้ เขาพิสูจน์ว่าถ้าให้ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง จึงจะสามารถอธิบายได้ในเรื่องของการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ แต่ความรู้ใหม่ของเขา ได้เป็นอันตรายต่อศรัทธาและโครงสร้างอำนาจ ที่อิงอยู่กับความรู้เดิมอย่างรุนแรง โชคดีที่โคเปอร์นิคัสตายก่อน ผู้เห็นจริงตามโคเปอร์นิคัสคนหนึ่งคือ บรูโน ได้พยายามเผยแพร่ความคิดดังกล่าว ก็ได้ถูกศาลไต่สวนศรัทธาจับเผาทั้งเป็นเมื่อปี ค.ศ.๑๖๐๐ ส่วนอีกคนที่รู้จักกันทั่วโลกก็คือ กาลิเลโอ กาลิเลอี โดนจับหลายครั้ง ถูกลงโทษจำขัง และห้ามไม่ให้แสดงความคิดเห็นใดๆ อีกตลอดชีวิต </div><div align="justify"><br />นี่คือการเริ่มต้นของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ตะวันตก ที่ต้องต่อสู้และแลกมาด้วยเลือดและชีวิต ของผู้คนจำนวนมากมาย เพื่อแลกกับอิสรภาพและเสรีภาพในการแสวงหาความจริงของธรรมชาติ จนกระทั่งระบบกดขี่ข่มเหงหมดพลังอำนาจลงไป วิทยาศาสตร์ที่ยืนอยู่ข้างความจริงก็ได้รับการยอมรับ ระยะเวลาที่ผ่านมาสามศตวรรษ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตะวันตก ก็กลับกลายเป็นสถาบันที่มีอำนาจ แผ่ไปครอบงำวิถีชีวิตของคนทั่วโลก เวลานี้ ถ้าใครไม่เชื่อวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่อวิธีการพัฒนาแบบทันสมัย กลายเป็นพวกนอกรีตหรือล้าสมัย หากยังมีจิตวิญญาณของความเป็นวิทยาศาสตร์หลงเหลืออยู่บ้าง กระทรวงวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ควรใช้วิธีการทางปัญญาควบคู่กันไปด้วย มีจิตใจวิทยาศาสตร์ เปิดกว้างมากขึ้นควบคู่ไปกับแนวทางวิทยาศาสตร์ด้วย </div><div align="justify"><br />การทดลองในห้องทดลองเมื่อผิดพลาด เรายังรื้อทิ้งแก้ใหม่ได้ แต่อาจจะมีผลกระทบกับชีวิตและของธรรมชาติในสรรพสิ่งบ้าง และมีชีวิตคนเป็นเดิมพันบ้าง วัฒนธรรมชุมชนเป็นเดิมพันบ้าง ระบบนิเวศเป็นเดิมพัน บ้าง เท่าที่คิดได้ชีวิตและธรรมชาติมีแค่มิติเดียวเท่านั้นหรือ คุณค่าของความเป็นมนุษย์ คุณค่าของการเรียกร้องเอาธรรมชาติกลับคืนมา มันไม่เป็นจิตวิญญาณของความเป็นวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร หรือวิทยาศาสตร์ที่เป็นอยู่ได้มอบกายมอบใจสวามิภักดิ์ให้กับเทคโนโลยีไปหมดแล้วก็เป็นได้ </div><div align="justify"><br />ปัจจุบันนี้ มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางทั้งในวงการวิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา มีหลายคนเห็นว่ามนุษย์กำลังทำตัวเป็นพระเจ้าเสียเอง บ้างก็เป็นห่วงว่า ปัจจุบันมนุษย์เรายังไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติดีนัก เรายังไม่รู้ว่าที่ธรรมชาติกำหนดให้สิ่งต่างๆ เป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ เช่น กำหนดให้คนสืบพันธุ์ด้วยวิธีอาศัยเพศเท่านั้น ไม่อนุญาตให้คนสืบพันธุ์โดยการแบ่งเซลล์หรือตัดเอาเนื้อหนังไปเพาะพันธุ์ เป็นต้น ธรรมชาติมีเหตุผลอย่างไร สติปัญญาของมนุษย์ยังเข้าไม่ถึงความเร้นลับดังกล่าวนั้น พฤติกรรมของมนุษย์ที่พยายามฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ที่ธรรมชาติวางไว้ให้อาจไม่ต่างจากพฤติกรรมของทารกที่ไม่รู้ว่าทำไมแม่จึงห้ามทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วก็ฝ่าฝืนคำสั่งนั้นจนก่อให้เกิดอันตรายแก่ตน นี่คือส่วนหนึ่งของความวิตกที่คนส่วนหนึ่งในโลกมีต่อทิศทางของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ในอีกแง่หนึ่งของวิทยาศาสตร์ จากอดีตที่ผ่านมา มนุษย์ต้องประสบกับความทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ดังนั้นวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทุกยุคทุกสมัยต่างก็พยายามหาหนทางในการที่จะกำจัดโรคร้ายเหล่านั้น ไม่ว่าจะด้วยการพัฒนาคิดค้นยารักษาโรคตลอดจนการรักษาด้วยวิธีการและรูปแบบต่างๆ ทั้งนี้ ก็ด้วยเป้าหมายเพื่อให้มนุษย์ดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน<br />เราห้ามนักวิทยาศาสตร์ไม่ให้ค้นคว้าไม่ได้เพราะวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์บริสุทธิ์ ไม่ดีและไม่เลว คนที่ใช้วิทยาศาสตร์ต่างหากที่จะทำให้โลกพินาศหรือเจริญรุ่งเรือง และวิทยาศาสตร์เอง ก็ไม่มีหน้าที่สั่งสอนอบรมคนให้รู้จักควบคุมตนเอง นั่นจึงเป็นหน้าที่ของศาสนา วิทยาศาสตร์มีหน้าที่เพียงค้นคว้าหากฎเกณฑ์ในธรรมชาติเท่านั้น ท่าทีของวิทยาศาสตร์ที่แสดงมาทั้งหมดนี้นับว่าแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับท่าทีของทางศาสนา เคยมีคนกล่าวอย่างสรุปท่าทีระหว่าง วิทยาศาสตร์กับศาสนาไว้ว่า </div><div align="center"><br /><strong><span style="color:#6666cc;">“วิทยาศาสตร์ที่ปราศจากศาสนาเปรียบได้กับคนแขนขาพิการ ส่วนศาสนาที่ปราศจากวิทยาศาสตร์เปรียบได้กับคนตาบอด” </span></strong></div><div align="center"><strong><span style="color:#6666cc;">( Science without religion is lame, religion without science is blind )</span></strong> </div><div align="justify"><br />ไอน์สไตน์เคยกล่าวข้อความสั้นๆนี้ คิดว่าน่าจะเป็นคำตอบที่กะทัดรัดที่สุดสำหรับปัญหาว่าศาสนาควรวางตัวอย่างไรต่อวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ก็ควรจะวางตัวอย่างไรด้วยเช่นกันต่อศาสนา </div><div align="justify"><br />หากลองพิจารณาคิดกันสักนิดว่า ลำพังเพียงวิทยาศาสตร์อย่างเดียวไม่อาจสร้างปัญหาให้กับโลกได้เลยตัวการของปัญหา คือ “มนุษย์เรานี่เอง” หาใช่อะไรที่ไหนไม่ เราก็คงไม่ประณามวิทยาศาสตร์ว่าเป็นตัวก่อปัญหาคนเรานั้น พุทธศาสนาเชื่อว่าต้องพัฒนาสองสิ่งในตัวพร้อมๆกัน คือ “ปัญญา กับ คุณธรรม” เท่าที่ผ่านมาวิทยาศาสตร์ที่สร้างปัญหาคือวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีคุณธรรมกำกับ หากวิทยาศาสตร์เดินเคียงคู่ไปกับคุณธรรมด้วยแล้ววิทยาศาสตร์จะกลายเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์แก่มนุษย์อย่างอเนกอนันต์เลยทีเดียว </div><div align="justify"><br />เนื้อหาหลักของพุทธศาสนานั้นเกี่ยวข้องกับธรรมชาติอันเป็นอมตะของมนุษย์ ธรรมชาติที่ว่านี้จะคงอยู่ในตัวมนุษย์ ไม่ว่ามนุษย์จะมีพัฒนาการทางความรู้ไปมากมายเพียงใด คนในยุคหินเคยมีความโลภ โกรธ หลง อย่างไร คนในยุคเทคโนโลยีนี้ก็มีความโลภ โกรธ หลง อย่างนั้นด้วยเช่นกัน ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงธรรมชาติภายในอันเป็นที่มาของปัญหาชีวิตและสังคม หากเราคิดว่า มีความจำเป็นที่มนุษย์จะต้องได้รับการขัดเกลาธรรมชาติภายในเหล่านี้ ตราบนั้นพุทธศาสนาก็ยังจะมีความสำคัญและจำเป็นสำหรับมนุษยชาติอยู่ตลอดไป </div><div align="justify"><br />เมื่อมองจากแง่นี้แล้ว ดูเหมือนว่าพุทธศาสนาจะไม่มีทางได้รับผลกระทบจากวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์ศึกษาในขอบเขตหนึ่ง ส่วนพุทธศาสนาก็ศึกษาในอีกขอบเขตหนึ่ง วิทยาศาสตร์เกี่ยวเนื่องกับ “วัตถุ” (ภายนอก) ส่วนพุทธศาสนาเกี่ยวเนื่องกับ “จิตใจ” (ภายใน) คนที่เห็นว่าวิทยาศาสตร์สามารถหักล้างความเชื่อในศาสนา คือ คนที่ไม่เข้าใจสาระที่แท้ของวิทยาศาสตร์และศาสนา และก็เช่นเดียวกัน คนที่เห็นว่าวิทยาศาสตร์สามารถใช้สนับสนุนความน่าเชื่อถือของศาสนาก็ คือ คนที่ไม่เข้าใจสาระสำคัญของวิทยาศาสตร์และศาสนาด้วยเช่นเดี่ยวกัน </div><div align="justify"><br />ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงกำใบไม้แห้งที่ร่วมอยู่ตามพื้นดินขึ้นมากำหนึ่ง แล้วถามพระภิกษุที่แวดล้อมอยู่ว่า ใบไม้ในพระหัตถ์กับใบไม้ทั้งป่าที่ไหนมากกว่ากัน พระสาวกทั้งหลายก็ตอบว่าในป่ามากกว่าอย่างไม่อาจเทียบกันได้ในพระหัตถ์ พระพุทธองค์ก็ตรัสสืบไปว่า ใบไม้ในพระหัตถ์นั้นเปรียบได้กับหลักธรรมที่ทรงนำมาสอนพุทธบริษัท ส่วนใบไม้ที่อยู่ในป่าทั้งหมดเปรียบได้กับสิ่งที่ทรงรู้แต่ไม่นำมาสอน</span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-18070453542051204832007-08-07T02:49:00.000-07:002007-08-07T07:58:48.017-07:00จิตจักรวาลสะท้อนปัญญาบิ๊กแบงภายในใจจึงเกิด<div align="justify"><span style="font-family:arial;">คงเป็นเรื่องประหลาด หากคนเราไม่รู้จักคิดหรือคิดไม่เป็น เพราะมนุษย์ คือ ผู้รู้ ผู้คิด และผู้เบิกบาน ผู้แสวงหาความเป็นอิสระนั้นว่ากันตามปรัชญากรีก ที่มายืนยันบันทึกซ้ำบางส่วนในพระคัมภีร์ ประเด็นคือ ที่รู้ ที่คิด ที่เบิกบาน เป็นอิสระที่ว่านั้น มันมีที่มาของมันอย่างไรและเพื่ออะไร คิดว่าชีวิตเกิดมาโดยบังเอิญแล้วตายไปจบสิ้นแค่นั้นจึงต้องเบิกบานกันกระนั้นหรือ นักปรัชญากรีกที่ว่ารวมทั้งอริสโตเติลเองยังบอกว่า มนุษย์ต้องมีคุณภาพ และความสุขสนุกสนานความเบิกบานคือคุณภาพนั้น นักวิทยาศาสตร์โดยวิชาวิทยาศาสตร์ของ นิวตัน ของ ดาร์วิน และ ของ ซิกมันต์ ฟรอยด์ ที่เราเรียนมาก็บอกว่าถูกต้องแล้ว มนุษย์เกิดมาโดยบังเอิญและจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />ดังนั้นช่วงของการดำรงอยู่ เราจึงต้องเรียนรู้โลกเรียนรู้ธรรมชาติแสวงหาคุณภาพความเบิกบานความเป็นอิสระตามที่ตาเห็นเพราะว่าโลกและธรรมชาติมีแค่นั้น คือ ต้องมีรูปเป็นวัตถุและเคลื่อนที่ตามที่ตาเห็นจริงๆ ดังที่นักสังคมนักปรัชญากายภาพไม่ว่าจะเป็น เดส์การ์ตส์ เบคอน และ ทอมัส ฮอบส์ และต่อมาแม้เมื่อกลางศตวรรษที่แล้วนี้เอง เบอรแทรนด์ รัสเซลล์ ก็พูดทำนองนั้น คือ พูดว่าแม้แต่อามรณ์ความรักและความเชื่อล้วนเป็นความมั่วซั่วของอะตอมที่วิ่งวุ่นไปมา อะไรที่มองไม่เห็นไม่มีรูปไม่มีจริง แต่อีกด้านหนึ่งนักศาสนานักอภิปรัชญากลับบอกว่าไม่จริงไม่ถูกต้อง ที่รู้ที่คิดที่ถูกมันลึกล้ำกว่ารูปวัตถุที่ตาเห็น ความเบิกบานที่พูดๆ กันก็ไม่ใช่ความปิติสุขที่อิ่มเอมล้ำลึกและความอิสระที่ว่านั้นก็ไม่ใช่ความอิสระจริงๆ ดัง โพลตินัส ได้พูดไว้ในเอ็นเนียร์ตเล่มที่ห้าว่า ความสุขความอิสระที่แท้จริงนั้น เป็นเรื่องของจิตที่เชื่อมรวมกับแสงกระจ่างที่บางเบานั่น คือ เมื่อเราละได้ซึ่งทุกสิ่งหลุดจากทุกสิ่ง มองที่ด้านนี้จึงเป็นการคิดการเห็นด้วยจิตที่ผ่านพ้นเหนือจิตรู้ จึงปิติเบิกบานและเป็นอิสระ เป็นความปีติอิสระอีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่สุขแบบสนุกสนานสำราญบานใจชั่วครู่ยาม (Have Fun) </div><div align="justify"><br />ทุกวันนี้ที่เรารู้ ทั้งยังมีหลักฐานทางฟิสิกส์และหรือวิทยาศาสตร์ทางจิตพอสมควรที่ชี้บ่งบอกว่าการปฏิบัติจิตปฏิบัติสมาธิอย่างต่อเนื่องสามารถเอื้อต่อวิวัฒนาการของจิตวิญญาณสู่ระดับที่ทางจิตวิทยาเรียกว่าระดับ “ผ่านพ้นตัวตน” ไปตามระนาบและระดับที่อาจสูงล้ำกว่ากันระหว่างปัจเจกบุคคลกับวิธีปฏิบัตินั้นๆ ระนาบและระดับหนึ่งคือสภาพที่เรียกว่า “สภาพจิตที่เปลี่ยนไป” จากสภาพจิตรู้หรือมโนสำนึกในปกติ แต่จริงๆแล้วสภาพจิตที่เปลี่ยนแปลงไปที่ว่านี้ อาจเกิดขึ้นมาเองในคนทุกคนทั่วๆไป ส่วนหนึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวกันกับ ญาณทัสนะ (Intuition) ความคิดความรู้ที่โผล่พลุ่งขึ้นมาเองในความสงบในความฝันหรือเป็นพรสวรรค์ของบุคคลบางคนหรือเป็นเหตุการณ์เร้นลับเหนือธรรมชาติที่เกิดกับชุมชนในบางครั้งนั่นคือสิ่งที่คลาร์ค จึงเรียกว่า “อุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างพ้องจ้องกัน” ประสบการณ์เหนือธรรมชาติ หรืออภิญญาณบางอย่าง กระทั่งเป็น ปัญญาเหนือปัญญา และ ความรู้เหนือความรู้ ดังที่มีบันทึกเป็นประวัติศาสตร์เอาไว้ในที่ต่างๆ <em><span style="font-size:85%;">(อ้างจาก : Wilis Harman as Editor ; New Metaphysical Foundation of Modern Science, 1994 ; David Lorimer as Editor ; The Spirit of Science, 1999) </span></em></div><em><span style="font-size:85%;"></span><div align="justify"><br /></em>หนังสือของโจเซพ เพียรซ (Joseph C. Pearce : The Biology of Trancendence, 2002) ในตอนที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับความสามารถเหนือธรรมชาติของเขาเองในช่วงที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแล้ว ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนแรกคือไม่เข้าใจหรือจริงๆแล้วไม่เชื่อนั้นเอง ไม่กี่วันมานี้ได้พบกับ เดวิต สปิลเลน เพื่อนที่คุ้นเคยกับเขามานานที่เพียรซอ้างถึงในหนังสือเล่มนั้น เดวิดยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนที่สามารถนำจิตของตนเองเข้าสู่สภาวะ “จิตที่เปลี่ยนสภาพไป” ในช่วงนั้น จิตอยู่ในภวังค์เช่นนั้น ประหนึ่งไม่ใช่เป็นตัวของตัวเองแต่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ หรืออาจอธิบายว่าเป็นอภิญญาณ ที่เกิดจากจิตที่แน่วนิ่งอยู่กับสมาธิหรือที่จดจ่อกับงานหรือสิ่งที่กำลังเกี่ยวข้องอยู่ในขณะนั้นๆ เพียรซเล่าให้ฟังว่า เขาไม่เป็นอะไรเลยเมื่อถูกจี้ด้วยบุหรี่แดงวูบวาบร้อนจัดที่จี้ลงไปที่ริมฝีปากต่อหน้าเพื่อนๆ ที่หอพักของมหาวิทยาลัย ที่ว่าไม่เป็นอะไรเลยคือไม่เป็นอะไรเลยจริงๆ แม้แต่รอยแดงสักน้อยนิด ความร้อนของบุหรี่เมื่อเพื่อนที่เรียนฟิสิกส์เอาไปทดสอบปรากฏว่าร้อนจัดถึง ๑๓๘๐ องศาฟาเรนไฮต์ ยิ่งเมื่อเพียรซเล่าถึงการรับคำท้าของเพื่อนคนหนึ่ง ด้วยการปีนขึ้นไปบนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเป็นภูหินทรายที่มีชื่อริมมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นหน้าผาที่สูงมากและชันมากแทบว่าจะตั้งฉากกับพื้นดิน แถบตอนบนสุดช่วงยอดหลายสิบเมตรเป็นส่วนที่หน้าผายืนชง้ำออกมาเป็นจะงอยโดยไร้ผนังผาที่จะใช้เหยียบยึด แต่เพียรซสามารถปืนขึ้นไปได้อย่างปลอดภัยท่ามกลางความไม่เชื่อสายตาของเพื่อนๆ เพียรซ บอกว่าในตอนปีนหน้าผาขึ้นไปตลอดระยะทางและตลอดเวลา เขาเพียงรู้ตัวว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของภูผานั้นเป็นส่วนหนึ่งของโลกทั้งหมด เพียรซเล่าว่าเขาไม่เคยมีความสงสัยหรือลังเลใจว่าจะปีนไม่ได้ หรือจะมีความกลัวแม้แต่น้อยนิดเกิดขึ้นในจิตใจของเขาตลอดช่วงเวลาที่ปีนขึ้นไป จนกระทั่งไปยืนอยู่บนที่ราบยอดเขาที่เพื่อนนักศึกษามหาวิทยาลัยหลายคนยืนออรอกันอยู่ด้วยสีหน้าที่ฉาบด้วยความไม่เชื่อสายตาผสมความตื่นใจ นั่นคงเป็นประสบการณ์เดียวกันกับที่คนลุยไฟลุยถ่านที่ลุกแดงร้อนจัดในพิธีกรรมบางศาสนาที่เราเคยได้ยินกันจนชินหู แต่ไม่รู้ว่าจะเชื่อทั้งหมดดีหรือไม่ดี หรือมีคำอธิบายให้กับตัวเองอย่างไร ดังนั้นหลายคนจึงไม่เอามาคิดหรือไม่ก็หนีประเด็นไปเลย เหมือนกับว่าเป็นเรื่องแหกตาหลอกลวงโดยไม่คิดที่จะสืบสาวให้ลึกลงไป </div><div align="justify"><br />นั่นก็เหมือนกับศาสตราจารย์จิตวิทยาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ชื่อว่าริชาร์ด อัลเปิร์ต ที่ไปทดสอบผลของยาแอลเอสดีที่อินเดียในปี ๑๙๖๖ เขาได้มีโอกาสทดลองกับนักปฏิบัติจิตนักปฏิบัติสมาธิในศาสนาฮินดูและพุทธศาสนาสายทิเบตสามสี่คน ก็พบว่านอกจากแอลเอสดีที่แม้โดยขนาดที่เกิดอันตรายก็ไม่สามารถยังผลในทางเภสัชวิทยาใดๆ ให้กับผู้วิเศษเหล่านี้ได้ บางคนในกลุ่มนี้บอกว่ายานี้อาจช่วยให้คนธรรมดาเข้าสมาธิได้เร็วขึ้น แต่ก็เป็นคนละระดับกับวิธีที่ตนปฏิบัติที่สามารถเข้าถึงสภาวะสมาธิลึกๆได้ในทันที ผู้วิเศษเหล่านี้สามารถแสดงให้ริชาร์ด อัลเปิร์ต เห็นว่า ทันทีที่สภาพจิตของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไป พวกเขาสามารถทำให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายเกิดเป็นก้อนเนื้อเป็นตุ่มเป็นเนื้องอกผลุบๆ โผล่ๆ ตรงนั้นตรงนี้ได้ตามแต่ใจปรารถนา ริชาร์ด อัลเปิร์ต ลาออกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมาฝึกสมาธิสายฮินดูที่อินเดียตั้งแต่นั้น แถมยังเปลี่ยนชื่อเป็นชาวภาระตะว่า “รามทัสส์” (Ramdas ดู Richard Alpert ; Be Here Now. 1971) รามทัสส์กลายเป็นครูสอนสมาธิการปฏิบัติจิต ทีแรกในด้านของสุขภาพกับการรักษาโรคต่อมาจนขณะนี้ได้หันมาเน้นด้านของสิ่งแวดล้อมหรือนิเวศวิทยาลุ่มลึก ที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง ในด้านของความรู้โดยเฉพาะโดยคำถาม ที่ถามถึงที่มาของความรู้และกระบวนการทั้งหมดที่เราได้ความรู้มันมาจากไหนและมาได้อย่างไร จริงๆ แล้วเราคิดว่ามันมาโดยการคิดการรู้ที่ได้มาจากสองเส้นทาง คือ </div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#00cccc;">- หนึ่งเส้นทางภายนอก</span></strong> การตื่นตัวหรือสติและการรับรู้โดยประสาทสัมผัสที่เปิดสู่ภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส การรับรู้ของจิตพื้นฐาน ที่โดยเริ่มต้นมีเป้าหมายเพื่อการอยู่รอดของชีวิต </div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#00cccc;">- สองเส้นทางภายใน</span> </strong>อาศัยประสบการณ์ที่ได้จากภายนอกที่ว่านั้น ผ่านสมองในส่วนลิมบิก (ศัพท์ทางกายวิภาค) ที่ว่าด้วยอารมณ์ความรู้สึกของสมอง และความจำของอดีตที่เราไม่รู้ว่าเป็นอดีตของเมื่อไร ผสมผสานผ่านต่อไปยังสมองส่วนนิโอคอร์เท็กซ์ (ศัพท์ทางกายวิภาค) ทั้งหมดพัวพันก่อประกอบเป็นจิตสำนึก หรือจิตรู้ และหากเอามาประกอบเป็นจินตนาการที่แน่วแน่ หรือเอามาหมุนเวียนสะท้อนกลับไปมา ในที่สุดความคิดในรูปแบบของปัญหาอีกระดับหนึ่ง หรือข้อมูลเหนือปัญญาก็จะโผล่โพล่งปรากฏขึ้นมาเหมือนสายฟ้าแลบ บางที่ขณะกำลังหลับ นั่นคือปัญญาที่อาจเรียกว่าญาณทัสนะที่กล่าวมาแล้ว ที่เป็นปัญญาหรือข้อมูลที่ทำให้เราต้องอุทาน เออ!...จริงๆ ด้วย! ขึ้นมา ปัญหาที่นักฟิสิกส์หลายๆ คนคิดว่าไม่ใช่ปัญญาที่สร้างหรือส่วนประกอบที่สมอง </div><div align="justify"><br />ไม่ว่าด้วยเส้นทางภายนอกหรือภายในที่กล่าวมาข้างต้น พื้นฐานที่สุดของจักรวาล คือ “จิตวิญญาณ” ที่เป็นข้อมูลการค้นหาความจริงแท้ของนักฟิสิกส์แควนตัมสายปรัชญาที่ค้นพบและแสดงออกซึ่งหลักฐานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ตลอดเวลา ที่ไม่ว่านักฟิสิกส์ยุคใหม่ที่ไม่ชอบปรัชญา ผู้ขี้เกียจคิดซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ทั่วไปจะชอบใจหรือไม่ชอบใจอึดอัดใจหรือไม่ ในที่สุดจำเป็นต้องค่อยๆ รับความจริงใหม่ที่ค้นพบเพิ่มขึ้นไปทีละอย่างสองอย่าง </div><div align="justify"><br />โดยเฉพาะหนังสือของนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ผู้เป็นนักแควนตัม ที่เขียนราวกับว่าเป็นนักศาสนานักอภิปรัชญาเขียน บอกว่ามีหลักฐานทางฟิสิกส์ที่อาจทำให้ติดต่อไปได้ว่า สนามแควนตัมสากลของจักรวาลที่ให้จิตปัญญาที่สูงล้ำ ที่เมื่อจักรวาลรู้ตัว จะสามารถเชื่อมโยงกับจิตของมนุษย์ที่อยู่ในจินตนาการอยู่กับงานเฉพาะหน้าอย่างแน่วแน่ นั่นคือ จักรวาลเป็นจิตปัญญาที่สามารถสะท้อนปัญญานั้นๆ ให้กับมนุษย์ที่ตั้งใจระลึกหรือนึกถึงอย่างแน่วแน่นั้น ตรงนี้คือที่มาและเนื้อหาของญาณทัสนะที่เป็นฐานคิดของ “วิธีคิดใหม่” นอกจากนั้นตรงนี้ก็อาจเป็นคำตอบต่อการขอพระขอเทพเทวาเทวดาช่วย และเป็นคำตอบส่วนหนึ่งต่อการยังผลของการรักษาโรคด้วยการสวดมนต์ จิตจักวาลจึงสะท้อนปัญญาให้เกิดขึ้นจากภายใน </div><div align="justify"><br />ปัญญา คือความรอบรู้ โดยทั่วไปเรามักจะเข้าใจคำนี้กันดี เพราะการศึกษาวิชาการทุกแขนงก็เพื่อให้เกิดปัญญา ต้องการรู้สิ่งที่ยังไม่รู้ ไม่ว่าความรู้นั้นจะอยู่ใกล้หรือไกล เช่น การสำรวจจักรวาล ก็เพราะอยากรู้อยากเห็น อยากได้ปัญญา ความเข้าใจเรื่องปัญญาดังกล่าวก็ถูกต้อง แต่เป็นเพียงโลกียปัญญาเพราะฟังคนอื่นมาหรือเรียนรู้ หรือปัญญาเพราะคิดค้นด้วยตัวเอง การทดลอง ตั้งทฤษฎีต่างๆนาๆขึ้นมา ความรู้ที่เกิดขึ้นจากปัญญาระดับนี้ไม่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ หลุดพ้นเข้าถึงบิ๊กแบงภายในใจ เพราะเป็นความรู้เกี่ยวกับเรื่องนอกตัวเองเสียมากกว่า </div><div align="justify"><br />ส่วนคำว่าปัญญาในที่นี้มีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น คือหมายถึง ความรอบรู้สภาวะความจริง ซึ่งเป็นไปด้วยความเป็นเหตุและผลของกันและกัน เป็นปัญญาระดับจิตใจหรือความสงบสมาธิชั้นสูง ปัญญาระดับนี้ทำให้จิตใจของบุคคลเป็นอิสระไม่ตกเป็นทาสของสิ่งหนึ่งสิ่งใด หลุดพ้นจากอำนาจของกิเลสและความทุกข์ สว่างและสงบเยือกเย็นเกิดขึ้นภายในจิตใจนี้ คือความหมายของคำว่า “ปัญญา” บิ๊กแบงภายในใจจึงเกิดขึ้น ... </span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-88891693929173086192007-08-07T02:47:00.000-07:002007-08-07T08:40:18.833-07:00ความสุขเสมอด้วย ความสงบไม่มีด้วย<div align="justify"><span style="font-family:arial;">ความสุขเป็นสิ่งที่ปรารถนาของมวลมนุษย์ ทุกคนอยากมีอยากได้ อยากยึดรักษาไว้ให้นานที่สุดหรือตลอดกาล ศาสนาต่างๆจึงเน้นถึงเรื่องความสุข บางศาสนามีพิธีกรรมที่ชักนำให้เกิดความสุข เช่น การร้องเพลงในโบสถ์ มีการสวดอ้อนวอนขอสิ่งที่ต้องการ การฉลองวาระสำคัญต่างๆด้วยพิธีที่มีความสุข เช่น การให้ของขวัญแก่กันเด็กๆจะตั้งตารอวาระสำคัญทางศาสนานับเป็นการชักจูงให้มีศรัทธาต่อศาสนาอย่างยิ่ง<br />แต่เหตุใดในพุทธศาสนาไม่เน้นเรื่องความสุข! แม้ในวาระสำคัญทางศาสนาพุทธก็มุ่งในด้านให้เกิดความสงบมากกว่า เช่น การเวียนเทียน เข้าโบสถ์สวดมนต์ เพราะพุทธศาสนาถือว่า “ความสุขเสมอด้วย ความสงบไม่มีด้วย” บางคนไม่เข้าใจ ความสงบ ที่พระพุทธองค์หมายถึง คือ ความเงียบ ไม่วุ่นวายไปจนถึงนิพพาน ซึ่งบางคนพบเข้ากลับมีทุกข์เพราะอยากสนุกสนาน ความสงบที่ทางพุทธศาสนาหมายถึง ในด้านธรรมะไม่ใช่ทางโลก หมายถึง สงบจากจิตที่เป็นสมาธิ ไม่สอดส่ายไปข้างนอก ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่ติดกิเลส ความสุขที่เกิดจากสมาธิจะเหนือกว่าความสุขทางโลกเพราะทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะแวดล้อม พุทธศาสนามิได้ปฏิเสธความสุข เพียงแค่ชี้ให้เห็นว่าความสุขไม่จีรัง แนะนำไม่ให้คนติดยึดกับความสุข ซึ่งมีความไม่แน่นอน ไม่ยั่งยืน เป็นอนิจจัง ไม่ช้าเมื่อความสุขหายไปก็จะเกิดความทุกข์ความผิดหวัง ทำให้คนอาจทำอะไรไม่ถูกต้องจึงเกิดทุกข์ตามมา แต่ถ้าคนใดมองทุกข์เป็นหลัก เมื่อพบความสุขก็จะนึกรู้อยู่เสมอว่าไม่ยั่งยืน เมื่อเกิดปัญหาหมดความสุขจะสามารถทนรับความทุกข์ได้ดีกว่าผู้ที่ยึดความสุขเป็นหลัก </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />พุทธศาสนาได้อธิบายถึงกลไกการเกิดความสุขว่า เกิดจากสิ่งเร้าจากภายนอกมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ โดยมีใจเป็นตัวรับ (ดังที่อธิบายมาแล้วในบทก่อนๆ) โดยมีการปรุงแต่งที่เรียกว่า สังขาร ออกมาเป็นความทุกข์ ความสุข หรืออารมณ์เฉยๆ (ไม่ทุกข์ไม่สุข) จะเห็นได้ว่าสิ่งเร้าอย่างเดียวกันอาจทำให้เกิดผลต่างกัน เช่น การฟังเพลงๆหนึ่ง ในบางอารมณ์จะฟังว่าเพราะเกิดความสุข แต่ในบางอารมณ์เพลงเดียวกันนี้กลับรู้สึกว่าหนวกหูรำคาญเกิดความทุกข์ ถ้าเราพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าสุขและทุกข์อยู่ติดกันจนแยกไม่ออก ทางธรรมะของท่าน พุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าไม่วางสุขก็ไม่พ้นทุกข์ ถ้าวางสุขทุกข์ไม่ต้องวางก็หายเอง” นี่เป็นคำกล่าวที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าใครลองคิดดู แน่นอนครับ! ทุกคนย่อมหาความสุขกันทุกคน แต่สิ่งที่ทุกคนหาความสุขกันนั้น เป็นความสุขแท้จริงหรือ ท่านพุทธทาสภิกขุ ยังกล่าวอีกว่า “สุขอาจเปลี่ยนเป็นทุกข์ได้ในพริบตา แต่จากทุกข์เป็นสุขเกิดช้ามาก ถ้าเปรียบสุขเป็นสีขาว ทุกข์เป็นสีดำ เอาสีดำขาวผสมลงไปตามสัดส่วนของประสบการณ์ของชีวิตจริง ผลคงออกมาเป็นดำมากหรือดำน้อยเท่านั้นไม่มีขาวเหลืออยู่ พุทธศาสนาจึงเรียกสุขทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์นี้ว่า เวทนา ได้แก่ สุขเวทนา ทุกข์เวทนา และอทุกข์สุขเวทนา ซึ่งคำว่าเวทนาตามตัวแปลว่า ความโง่ ความน่าสงสาร ความไม่รู้แจ้ง (อวิชชา) ซึ่งเป็นปัจจัยต่อเนื่องให้เกิดตัณหา และอุปาทาน พระพุทธศาสนาจึงไม่ได้เน้นเรื่องความสุขด้วยเหตุดังข้างต้นนี้ ไม่สอนให้คนติดอยู่กับความสุขซึ่งไม่ยั่งยืนเพราะขึ้นอยู่กับการปรุงแต่ง อย่าดิ้นรนแสวงหาสุขจนเป็นทุกข์ อย่ายึดถือไว้จนเป็นทุกข์ ถ้าปรับใจตนเองได้อย่างนี้คงจะอยู่ในโลกนี้โดยมีสุขพอประมาณและมีทุกข์แต่พอควร อาจกล่าวได้ว่า ผู้แสวงหาสุขทางใจ มีอยู่เพียงกี่คนก็ตามที ก็เป็นเหมือนลูกตุ้ม ที่ถ่วงโลกไว้มิให้หมุนไปถึงยุค “กลียุค” เร็วเกินไปเพียงนั้น ดังที่กล่าวมาแล้วในบทก่อนหน้านี้ตามคัมภีร์ปุราณของชาวฮินดู เรายอมรับว่าเป็นลูกตุ้มจริง แต่ว่า เป็นลูกตุ้มที่ถ่วงไม่ให้พวกเราไปสู่ยุคนั้นเร็วเกินไป นี่อาจเป็นคำที่ซึ่งพวกแสวงสุขทางจิตภายใน ควรจะพูดได้ว่า โดยชอบธรรม! การเรียนรู้สรรพสิ่งหรือความจริงหรือทางพุทธศาสนาที่เรียกว่า “ปริยัติธรรม” หรือ “ธรรม” ในส่วนหลักวิชานั้น ช่วยได้โดยเป็นเครื่องสะกิดใจให้รู้สึกในเบื้องต้นว่า เรามีกายสองซีกคือ ซีกรูปกาย และ ซีกธรรมกาย </div><div align="justify"><br />รูปกาย เจริญได้เองด้วยการมี บิดามารดาเป็นแดนกำเนิดเกิดเติบโตขึ้น และด้วยการเลี้ยงดูข้าวปลาอาหาร การเจริญเติบโตทางสรีรศาสตร์ทางร่างกาย </div><div align="justify"><br />ธรรมกาย เจริญได้ด้วยการฝึก นั้นมี กาย วาจา ใจ ที่สุจริตผ่องใส เป็นที่ตั้งที่ปรากฏ มีผลของความสุจริต เป็นอาหาร ที่จะบำรุงให้เติบโตสืบไป และทำให้เรารู้สึกสืบไปเป็นลำดับ </div><div align="justify"><br />สรุปความว่า การเรียนรู้ในสรรพสิ่งของธรรมชาติความจริง (ปริยัติธรรม หรือ ธรรม) ช่วยให้เราทราบว่า เราจะต้องประพฤติธรรม เช่นนั้นเช่นนี้ เพื่อธรรมกายของเรา มิฉะนั้นเราตายด้านไปซีกหนึ่ง เมื่อเรารู้ความจริงในสรรพสิ่งพอสมควรแล้ว เราก็ได้ อาหารของดวงใจ ในส่วนหลักวิชา และ ภาคพื้นของการปฏิบัติ หรือที่เรียกในทางพุทธว่า สัมมาทิฎฐิ คือการชอบธรรม และรุ่งอรุณได้ปรากฏแก่เราแล้ว เป็นแรกเริ่มเป็นการย่างก้าวเข้าสู่บิ๊กแบงภายในใจแล้ว </div><div align="justify"><br />ต่อมาการปฏิบัติธรรม หรือ ธรรม คือ ตัวการปฏิบัตินั้น เป็นการ “ทรมานอินทรีย์” เพื่อเอาชนะอินทรีย์ ชนะได้เท่าใด ความเยือกเย็น พร้อมทั้งความรู้แจ้งก็เกิดขึ้นเท่านั้น ความเยือกเย็นเกิดจากความที่ อินทรีย์ สงบรำงับลง ความเห็นแจ้ง ความจริงในตัวเอง ปรากฏเพราะ ไม่ถูกม่านแห่งความกลัดกลุ้มของอินทรีย์ปิดบังไว้ เช่นแต่ก่อนวิธีเอาชนะ อินทรีย์ ตามหลักแห่งพุทธศาสนา ได้แก่ การบังคับตัวเองให้งดเว้นจากสิ่งชั่ว บังคับตัวเอง ให้ทำแต่สิ่งที่ดีเข้าแทน และต่อจากนั้นพยายามหาวิธีชำระจิตให้เป็นอิสระจากความหม่นหมอง ทั้งที่เปิดเผย เห็นได้ง่ายๆ และที่นอนนิ่งเงียบๆ อยู่ในสันดาน อันเป็นเหมือนเชื้อที่ก่อเกิดของอย่างแรก หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้แก่ การบังคับกาย และ วาจา ให้อยู่ในอำนาจ เรียกว่า “ศีล” การบังคับจิตให้อยู่ในอำนาจ เรียกว่า “สมาธิ” และใช้จิตที่อยู่ในอำนาจแล้ว คือ ค้นหาความจริง ที่ยาก ที่ลึก จนปรากฏ แจ่มแจ้ง เรียกว่า “ปัญญา” การบังคับหรือ ควบคุมอินทรีย์เช่นนี้ ทำให้ดวงใจ ได้รับความสะบักสะบอมน้อยลง วัตถุหรืออารมณ์ทั้งหลาย มีพิษสงน้อยเข้า หรือหมดไป เพราะที่เราสามารถบังคับตัวเอง ไว้ในภาวะที่จะไม่หลงใหลไปตามในทางที่ชอบ และ ในทางที่ชังเมื่อใจเราได้รับความพักผ่อนอย่างผาสุก เนื่องจากการบังคับอินทรีย์ของเราเช่นนี้แล้ว เราก็ได้เข้าใจในสรรพสิ่งของธรรมชาติความจริง ในส่วนของการปฏิบัติ อันจะเป็นอุปกรณ์ให้ได้เข้าถึง และจะเข้าไปถึงสืบไปอีกเพื่อเกิดการรู้แจ้งในสรรพสิ่ง </div><div align="justify"><br />ท่าน พุทธทาสภิกขุ ยังกล่าวสอนอีกว่า การปฏิบัติธรรม หรือธรรมในส่วน การรู้แจ้งนั้น จะแทงตลอดในสิ่งที่เคยหลงใหล จะรู้เท่าทัน เป็นความรู้ชนิดที่จะตัดรากความหม่นหมองของจิตใจเสีย เช่น ความสงสัย ความเข้าใจผิด หลงรัก หลงชัง ฟุ้งซ่าน ฯลฯ เสียแล้ว ทำความแจ่มแจ้งใจ โปร่งใจ เยือกเย็นใจ ให้เกิดขึ้นแทน นี้เป็นผลที่ปรากฏแก่ใจ สมจริงตามที่เรียนรู้ ทางหลักวิชาความจริง (ธรรม) เมื่อได้เป็นลำดับมาจนลุถึง พระนิพพาน เช่นนี้แล้ว ต่อจากนั้นก็เป็นใจที่มีรสของ พระนิพพาน ในที่นี้หมายถึง ความเยือกเย็น ของพระนิพพาน หรือ สภาพอันหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพแห่งความว่างโปร่ง เป็นอิสระเหนือสิ่งทั้งหลาย เหนือรูปธรรมนามธรรม เหนือกฎต่างๆแห่งรูปธรรมและนามธรรม ทั้งหมด และเป็นสิ่งที่ใครจะตั้งกฎเกณฑ์อะไรให้ไม่ได้เลย เปรียบเทียบได้กับเมื่อเราอาบน้ำ เราได้รับความเย็นของน้ำ เช่นกันเมื่อใจลุถึงพระนิพพาน มันย่อมเยือกเย็นเพราะความเย็นของพระนิพพานนั่นเอง </div><div align="justify"><br />มาถึงตรงนี้ มาถึงความจริงแท้เข้าถึงสรรพสิ่ง เป็นสิ่งที่ท่าน พุทธทาสภิกขุ ท่านกล่าวได้ว่า เป็นยอดประสบการณ์ชั้นพิเศษของภายในใจ ก็เพราะความหม่นหมองต่างๆของภายในนั้น ถูกสลัดทิ้ง เสียหมดแล้ว ตั้งแต่ได้รับฝึกฝนกันมาเป็นขั้นๆ จนถึงขั้นปฏิเวธขั้นสูง มาบัดนี้ ได้รับความเยือกเย็นของพระนิพพานเข้าอีก จึงเป็นการยากที่จะกล่าว ให้เป็นที่เข้าใจกันอย่างทั่วไปว่า รสชาติอันนี้ ในขณะนี้ จะเป็นอย่างไร ท่านจึงกล่าวว่า เป็นสิ่งที่แม้แต่อยากพูดให้ฟัง ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร อย่าว่าแต่รสชาติของพระนิพพานเลย แม้เพียงแต่ รสของวิเวก หรือ สมาธิขั้นต้นๆ ก็เป็นของยากที่จะอธิบายว่า มีรสชาติเป็นอย่างไรเสียแล้ว เพราะเป็นรสที่ต้องจัดเป็นรสแปลกใหม่อีกรสหนึ่ง จากที่คนธรรมดาเราเคยรู้รสกันมาในวงแห่งโลกธรรม ความจริงตามธรรมดา สิ่งที่เรียกกันว่า รสหรือประสบการณ์นั้น เป็นของอธิบายยากมาก บางอย่างไม่มีทางจะเทียบเคียงเสียเลย เช่น นาย ก.ไม่เคยกินของหวานเลย นาย ข.ก็ไม่อาจที่จะอธิบายให้ นาย ก.ทราบได้ว่า รสหวานนั้นเป็นอย่างไร จะอธิบายว่าตรงกันข้ามกับ ขม กับ เค็ม กับเปรี้ยว หรือ อะไรก็แล้วแต่ นาย ก.ก็ไม่อาจทายได้ว่า รสหวานนั้นเป็นอย่างไร แม้ นาย ข.จะคิดค้นหาคำใดมาพูดก็ไม่ได้คงไม่ได้ความ ในการอธิบายรสหวานเป็นอย่างไร นี่เองคือ ความเป็นของอธิบายให้ชัดไม่ได้ของหรือประสบการณ์ของ พระนิพพาน ซึ่งผู้เขียนเองนำมาเปรียบเทียบเป็น (บิ๊กแบงภายในใจ) </div><div align="justify"><br />ผู้เขียนเองนี้ ก็มิได้เคยมีประสบการณ์อย่างที่กล่าวมานี้เองมาก่อนหรอก เป็นผู้ที่กำลังเดินรอยตามการปฏิบัติในแนวทางนี้ ที่ผู้เขียนเองคิดว่าดีสำหรับผู้เขียนเอง และดีสำหรับผู้อ่านด้วยเช่นกัน อย่างที่บอกไปว่า จะหาคำอธิบายใดๆจากประสบการณ์หรือรสชาติของ พระนิพพาน (บิ๊งแบงภายในใจ) ก็มิได้ นอกจากทางเดียวคือ การปฏิบัติเดินรอยตามเพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ นิพพาน (บิ๊งแบงภายในใจ) เรานี้เอง </div><div align="justify"><br />นอกจากความสุขทางโลกที่เรียกว่า โลกีย์สุข ของคนทั่วไปแล้ว ท่าน พุทธทาสภิกขุ ยังกล่าวต่อว่า ทางพุทธศาสนาจะเน้นถึงความสุขที่เกิดจากการปฏิบัติภาวนา เพราะเป็นความสุขที่เป็นประโยชน์และยั่งยืนกว่า ไม่ได้มีการปรุงแต่งด้วยการคิด(สังขาร) ไม่ได้เป็นความรู้สึก(เวทนา) กล่าวได้คือ</span><br /><span style="font-family:arial;"><br />- ความสุขที่เกิดจากการปฏิบัติสมาธิ (ขั้น๑)<br />- จิตเข้าสู่ปฐมฌานจะเกิดความรู้สึกปีติสุขที่เกิดจากสมาธิ ซึ่งเมื่อถึงทุติยฌาน (ขั้น๒)<br />- วิตกวิจารดับไปแต่ยังมีปิติสุขอยู่ เมื่อเข้าตติยฌาน (ขั้น๓)<br />- ปิติจึงดับ เหลือแต่สุข แต่เมื่อถึงจตุตถฌาน (ขั้น๔) สุขจึงดับ เหลือแต่เอกัคคตาและอุเบกขา ปล่อยวางจากทุกสิ่งทุกอย่า<br /></span><span style="font-family:arial;"><br />ดังนั้นผู้ที่แสวงหาความสุขที่แท้จริงพึงได้จากการปฏิบัติสมาธิเท่านั้น นักปฏิบัติจำนวนไม่น้อยติดอยู่กับสุขนี้ ซึ่งยังถือเป็นสุขทางโลกอยู่ ถึงแม้ว่าสูงกว่าความสุขทางโลกทั่วๆจนถึงจุดสูงสุดที่ว่า “ความสุขเสมอด้วย ความสงบไม่มีด้วย” ซึ่งหมายถึงสุขจากนิพพาน พระพุทธองค์เคยได้เทศนาสอนให้พระอานนท์ดังนี้...<br />“บุคคลผู้ปรารถนาความสุขในภพนี้และภพหน้าแล้ว จงรักษาใจให้ได้รับความสุข ส่วนตัวตนร่างกายภายนอกไม่สำคัญ เมื่อตายแล้วก็ทิ้งอยู่เหนือแผ่นดินหาประโยชน์มิได้ ส่วนใจนั้นติดตามตนไปในอนาคตเบื้องหน้า”<br /></span></div><div align="justify"><span style="font-family:arial;"><br /></span><span style="font-family:arial;"><strong>ขอสรุปขั้นสั้นที่สุด ศีล สมาธิ ปัญญา กล่าวคือ<br /></strong>- การบังคับกาย และ วาจา ให้อยู่ในอำนาจ เรียกว่า “ศีล”<br />- บังคับจิตให้อยู่ในอำนาจ เรียกว่า “สมาธิ”<br />- การใช้จิตที่อยู่ในอำนาจแล้ว คือ ค้นหาความจริงที่ลึก จนปรากฏแจ่มแจ้ง เรียกว่า “ปัญญา”</span><br /></div></span>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-89699433661641224632007-08-07T02:46:00.001-07:002007-08-07T08:38:23.504-07:00ทางเดินของชีวิตเพื่อกำเนิดบิ๊กแบงภายในใจ<div align="justify"><span style="font-family:arial;">ชีวิตคนเรานั้น แท้จริงคือ การเดินทางชนิดหนึ่ง ซึ่งเดินจาก ความเต็มไปด้วยความทุกข์ ไปยังที่สุดจบสิ้นของความทุกข์ ที่ตนเคยผ่านมาแล้ว นั่นเอง ไม่รู้ว่า ผู้นั้นจะทราบหรือไม่ทราบ รู้สึกหรือไม่รู้สึก ชีวิตก็ยังคงเป็นการเดินทาง เรื่อยอยู่นั่นเอง เมื่อเดินไปทั้งไม่ทราบ ก็ย่อมมีความระหกระเหินบอบช้ำเป็นธรรมดา การเดินทางของชีวิตนี้ มิใช่เป็น การเดินทางด้วยเท้าหรือรูปกายตัวเรา แต่เป็นการ “เดินทางชีวิตด้วยจิต” ในฐานะที่เป็นทางของจิต อันจะวิวัฒน์ไปในทางสูง ซึ่งจะไปได้สูงกว่าทางวัตถุหรือทางกาย อย่างที่จะเทียบกันไม่ได้เลย </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />สิ่งที่เรียกกันว่าทางๆนั้น แม้จะมีสายเดียวก็จริง ตามธรรดาต้องประกอบอยู่ด้วยองค์คุณหลายประการ เสมอ การเดินทางด้วยกาย ทางไกลแรมเดือนสายหนึ่งจะต้องประกอบด้วย ร่มเงา ที่พักอาศัยระหว่างทาง การหาอาหารในระหว่างทาง ฯลฯ ดังนี้เป็นต้น และเช่นกัน ทางชีวิตด้วยจิต แม้จะสายเดียวที่ดิ่งไปสู่ “บิ๊กแบงภายในใจ” ก็จริง แต่ก็ต้องประกอบไปด้วย องค์คุณหลายประการเช่นกัน คือ </div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#00cccc;">ศาสนา</span></strong> เป็นองค์คุณอันสำคัญ โดยช่วยให้ชีวิตนี้ มีสิ่งยึดเหนียวและศรัทธาในการเดินทาง มีความสดชื่น เยือกเย็น พอที่จะเป็นอยู่เช่นเดียวกับน้ำ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงพฤกษาชาติให้สดชื่นงอกงามตลอดเวลา ฉันใดฉันนั้น </div><div align="justify"><br /><strong><span style="color:#00cccc;">ปรัชญา</span></strong> เป็นองค์คุณอีกอย่างที่ช่วยให้เกิดอุดมคติอันมีกำลังแรง ในการที่จะกระตุ้น ให้ปฏิบัติ ตามศาสนา หรือ หน้าที่อื่นๆ ทำให้เกิด ความเชื่อ ความเพียร และคุณธรรมอื่นๆ ที่เป็นตัวกำลังสำคัญด้วยกันทั้งนั้น อย่างมากพอ ที่จะไม่เกิด การท้อถอย หรือโลเล หรือหันหลังกลับ<br />โดยสรุปก็คือ ช่วยให้มีความเป็นนักปราชญ์ หรือมีปัญญา เป็นเครื่องดำเนินชีวิตตน ไปจนบรรลุถึงปลายทางที่ตนประสงค์ “บิ๊กแบงภายในใจ” </div><div align="justify"><br />จริงอยู่ที่ว่าวิทยาศาสตร์ ช่วยให้เราเป็นผู้รู้จักเหตุผล ให้รู้จักใช้เหตุผล และให้อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผล เพื่อให้ชีวิตนี้ไม่หลับหูหลับตาเดินไปอย่างโง่เง่างมงาย ซึ่งจะทำให้เดินไม่ถึงหรือถึงช้าและไม่ได้รับผลเป็นที่พอใจ หรือถ้าจะพูดในแนวศิลปะทางเดินของชีวิตก็ได้ว่า คือ ศิลปะแห่งการครองชีวิต หรือการบังคับตัวเองได้ ช่วยให้ชีวิตนี้ ดูแจ่มใสงดงาม น่าชื่นใจ น่ารักใคร่ นำมาซึ่งความเพลิดเพลินในการก้าวหน้าไปด้วยความรู้ และการกระทำที่ดูงาม ทั้งในเบื้องต้นท่ามกลางและเบื้องปลายด้วย </div><div align="justify"><br />ท่าน พุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวสอนไว้ว่า “ทางเดินของชีวิตด้วยจิตจะต้องมีภูมิธรรม” กล่าวคือ ธรรมสมบัติ หรือ ความดี ความจริง ความยุติธรรม ที่ประกอบ อยู่ที่เนื้อที่ตัวช่วยเหลือให้เกิด บุคคลิกลักษณะอันนำมาซึ่งความน่าเลื่อมใส ความไว้วางใจ ความน่าคบหาสมาคมจากชีวิตรอบข้าง ทำให้ชีวิตนั้นตั้งอยู่ในฐานะเป็นปูชนียบุคคล เป็นที่พึ่งแก่ตนเองได้ และเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของชีวิตทั้งหลาย ความรู้เป็นส่วนหนึ่งช่วยให้มีความสามารถในการที่จะใช้ความคิด และการวินิจฉัย สิ่งต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง ในการตัดสินใจ การค้นคว้าทดลอง การแก้ไขอุปสรรค และอื่นๆ ในอันที่จะให้เกิดผลในการครองชีพ การสมาคมและอื่นๆ ที่จำเป็นทุกประการโดยสมบูรณ์ จึงจะเกิดสติปัญญา และสติปัญญาก็ช่วยให้เกิดสมรรถภาพ หรือปฏิภาณในการดำเนินงานของชีวิต ให้สำเร็จ ลุล่วงไปได้ ตามแนว ของความรู้ ทำให้งานของชีวิตทุกชนิดทุกระดับ ดำเนินไปได้โดยง่ายโดยเร็วโดยสมบูรณ์และปลอดภัย โดยประการทั้งปวง </div><div align="justify"><br />ทั้งหมดที่กล่าวมานี้รวมกันเป็น “ทางสายเดียว” เป็นทางสายชีวิตที่จะช่วยให้ชีวิตของเราดำเนินไปได้อย่างเป็นที่พอใจมาก จนถึงกับท่าน พุทธทาสภิกขุ อยากจะยืนยันแก่เพื่อนร่วมสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหลายว่า จงลองเดินทางสายนี้ดู ผลในโลกนี้ก็คือ ทรัพย์ ชื่อเสียง และมิตรภาพก็ตาม ผลในโลกหน้าคือ สุคติก็ตาม และผลอันสูงสุดพันจากโลกทั้งปวง คือ นิพพาน (บิ๊กแบงภายในใจ) ก็ตาม จักเป็นที่หวังได้ครบถ้วนโดยไม่ต้องสงสัย </div><div align="justify"><br />โลกทุกวันนี้ มากไปด้วย ขวากหนาม อันเป็นอันตรายมาก ยิ่งขึ้นเพียงใด ชีวิตนี้ ก็ยิ่งต้องเพียบพร้อม ไปด้วยคุณธรรม และสมรรถภาพอันจะเป็นเครื่องป้องกัน และแก้ไขอันตรายนั้นๆมากขึ้นเพียงนั้น เพราะฉะนั้น อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องมีหนทางอันประกอบไปด้วย ทางไปของชีวิต ในด้านจิต หรือ วิญญาณ ของเขาผู้นั้น จึงจะก้าวไปด้วยดี คู่กันไปได้ กับการก้าวหน้าในทางวัตถุ หรือทางกายของโลกแห่งสมัยนี้ อันกำลังก้าวไป อย่างมากมาย จนเกินพอดีหรือผิดส่วน ไม่สมประกอบ จนทำให้โลกระส่ำระสายเป็นประจำวันอยู่แล้ว ทางชีวิตแห่งสมัยนี้โลดโผนโยกโคลงขรุขระ ขึ้นๆลงๆ ยิ่งกว่าสมัยเก่าก่อน เกินกว่าที่จะดำเนินไปได้ง่ายๆ โดยการใช้วิธีการที่ง่ายๆสั้นๆ เหมือนที่แล้วมา ความสับสนวุ่นวาย การหลงผิดไปกับการบริโภคนิยมในยุคปัจจุบันนี้ เป็นการเดินทางของใจที่หลงผิด เป็นสิ่งที่หลายคนปฏิบัติไปตามกัน และคิดเสมอว่านั้นเป็นทางที่ดีสำหรับเรา เป็นทางที่เราจะได้อยู่เหนือผู้อื่น และมีอำนาจเพรียงแค่บริโภคเท่านั้น ดังนั้นท่าน พุทธทาสภิกขุ จึงกล่าวไว้ให้แง่คิดอย่างน่าฟังที่ว่า </div><div align="justify"><br />“โลกทุกวันนี้ มีอะไรๆ มากเกินไปในทางที่จะผูกพันชีวิตนี้ให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งที่บีบคั้น เผาลน เผลอไปเพียงนิดเดียว ก็จักลื่นไถลลงไปในกองเพลิงชนิดที่ยากที่จะถอนตัวออกมาได้ และถึงกับตายอยู่ในกองเพลิงนั้นเป็นที่สุด เพราะเหตุนั้น จึงเป็นการสมควรหรือจำเป็นสำหรับชีวิตทุกชีวิตที่จะต้องแสวงหาทาง และมีทางของตน อันถูกต้อง ปลอดภัย เพื่อก้าวหน้าไปสู่ความสะอาด หมดจด สว่างไสว และสงบเย็น สมตามความปรารถนา ไม่เสียทีที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อที่จะเรียนรู้ชีวิตนี้ซักครั้งอันยิ่งใหญ่ ที่จะเปลี่ยนตัวเราเองไปตลอดกาล”</span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-42778881298754828552007-08-07T02:45:00.000-07:002007-08-07T08:33:27.906-07:00ใจอยู่ในกายหรือกายอยู่ในใจ (ทางเลือกหลุมดำหรือบิ๊กแบง)<div align="justify"><span style="font-family:arial;">ความอิ่มเอิบ ด้วยอารมญ์ความรู้สึก ทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นั้น เป็นอาหารของฝ่ายภายนอก ความอิ่มเอิบด้วยปิติและปราโมช อันเกิดจากความที่ใจสงบจากอารมณ์เป็นอาหารของฝ่ายภายใน อุดมคติของชีวิต คือ ความถึงที่สุดแห่งอารยธรรม ทั้งฝ่ายภายนอกและฝ่ายภายใน (ทางโลก กับ ทางธรรม) เพราะฉะนั้น ชีวิตย่อมต้องการอาหารทั้งฝ่ายภายนอกและฝ่ายภายใน ถ้ามีเพียงอย่างเดียว ชีวิตนั้น ก็มีความเป็นมนุษย์ เพียงครึ่งเดียว หรือ ซีกเดียวเท่านั้น </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />เราหาความสำราญให้แก่กายของเราได้ไม่สู้ยากนัก (ภายนอก) แต่การหาความสำราญให้แก่ใจ (ภายใน) นั้นยากเหลือเกิน ความสำราญกาย เห็นได้ง่ายรู้จักง่าย ตรงกันข้ามกับ ความสำราญทางใจ แต่ไม่มีใครเชื่อ เช่นนี้มากกันนัก เพราะเขาเชื่อว่า ไม่มีความสำราญอย่างอื่นที่ไหนอีกนอกจากความสำราญทางกาย และเมื่อกายสำราญแล้วใจก็สำราญ ความสำราญทางกาย หรือฝ่ายโลกนั้นต้องดื่มต้องกินอยู่เสมอจึงจะสำราญ ดังที่กล่าวไว้ในบทก่อนหน้านี้ในเรื่องของการบริโภคนิยม แต่ที่แท้มันเป็นเพียง การระงับ หรือกลบเกลื่อนความหิวไว้ทุกชั่วคราวที่หิวเท่านั้น ส่วนความสำราญ ฝ่ายใจภายใน หรือฝ่ายธรรมนั้น ไม่ต้องดื่มไม่ต้องกินก็สำราญอยู่เอง เพราะมันไม่มีความหิวไม่ต้องดื่มกิน ที่กล่าวนี้ ผู้ที่นิยมความสำราญทางกาย อย่างเดียวอาจฟังไม่เข้าใจก็ได้ แต่อย่าเพ่อเบื่อหน่ายเสียก่อน ขอให้ทนอ่านไปอีกหน่อย </div><div align="justify"><br />ท่าน พุทธทาสภิกขุ ท่านเคยกล่าวไว้ และแยกได้เป็น ๒ จำพวกด้วยกัน คือ พวกที่นิยม ความสำราญกายในทางโลก กล่าวว่า “ใจอยู่ในกาย” แต่พวกนิยมความสำราญใจในทางธรรม กล่าวว่า “กายอยู่ในใจ” (ตรงข้ามกัน) พวกแรกรู้จักโลกเพียงซีกเดียว พวกหลังอยู่ในโลกนานพอ จนรู้จักโลกดีทั้งสองซีกแล้ว ขณะเมื่อพวกที่ชอบสำราญกายกำลังปรนเปรอให้เหยื่อแก่ความหิวของตนอย่างเต็มที่นั้น พวกที่ชอบสำราญใจ กำลังเอาชนะความหิวของเขาได้ ด้วยการบังคับอินทรีย์ จนมันสงบอยู่ภายใต้อำนาจของเขาตนเอง พวกแรก เข้าใจเอาคุณภาพของการ “ให้สิ่งสนองความอยาก” แก่ความหิวของเขาว่าเป็นความสำราญ พวกหลังเอาคุณภาพของการที่ยิ่ง “ไม่ต้องให้สิ่งสนองความอยาก” เท่าใดยิ่งดีว่าเป็นความสำราญเช่นกัน พวกหนึ่งยิ่งแพ้ตัณหามากเท่าใดยิ่งดี อีกพวกหนึ่งยิ่งชนะมากเท่าใดยิ่งดีเช่นกัน ! (ถ้าผู้อ่านสับสนโปรดอ่านอีกครั้งอย่างช้าๆ และพิจารณาไปด้วยอีกที) </div><div align="justify"><br />ท่าน พุทธทาสภิกขุ ยังกล่าวต่ออีกว่า พวกที่ชอบสำราญกายย่อมจะแพ้ตัณหาอยู่เองแล้ว โดยไม่รู้สึกตัว ทำเอง และชักชวนลูกหลาน ให้หา ความสำราญกายอย่างเดียวกันนี้ด้วย เพราะไม่รู้จักสิ่งอื่นนอกจากนั้น ครั้นได้เครื่องสำราญกายมาใจก็ไม่สงบสุข เพราะ มันยังอยากของแปลกของใหม่อยู่เสมอไป คนชนิดนี้ในที่สุดก็มอบตัวให้แก่ ธรรมชาติฝ่ายต่ำ (หลุมดำ) ประกอบพฤติกรรมชนิดที่โลกไม่พึงปรารถนา ต่อสู้กับสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาไป แม้อย่างดีที่สุดคนพวกนี้จะทำได้ก็เพียงแต่ เป็นผู้ทนระทมทุกข์อยู่ด้วยการแช่งด่าโชคชะตาของตัวเองเท่านั้นไปอีก </div><div align="justify"><br />ความสำราญทางกาย ซึ่งกำลังร่าเริงกันอยู่นั้น จำพวกฝ่ายสงบภายในใจ ย่อมรู้ดีว่า เป็นการเล่นละคร ย้อมสีหน้า ทั้งที่ตัวเองหลอกตัวเอง ให้เห็นว่าเก๋ว่าสุข บางคนต้องร้องไห้และหัวเราะสลับกันทุกๆวัน วันละหลายครั้ง จิตใจฟูขึ้นแล้วเหี่ยวห่อลงขึ้นๆลงๆ ตามที่กระเป๋าพองขึ้นหรือยุบลง หรือตามแต่จะได้เหยื่อที่ถูกใจและไม่ถูกใจ ใจของพวกนี้ยังเหลืออยู่นิดเดียวเสมอเท่าที่เขารู้สึก จึงทำให้เขาเข้าใจว่าใจอยู่ในกาย คือ แล้วแต่กาย หรือ สำคัญอยู่ที่กาย เพราะต้องต่อเมื่อเขาได้รับความสำราญกายเต็มที่แล้วต่างหาก ใจของพวกเขาจึงเป็นอย่างที่เขา เรียกว่า “สุข” แม้คนพวกนี้จะพูดว่าความสำราญใจอยู่บ้าง ก็เป็นเพียง การหลงเอาความสำราญฝ่ายกาย ขึ้นมาแทน เท่านั้น จะสำราญใจได้อย่างไร ในเมื่อใจถูกทำให้พองขึ้นหรือยุบลงเสมอ ความพองขึ้นหรือยุบลงก็ตาม ย่อมเป็นสิ่งทรมานใจให้เหน็ดเหนื่อยเท่ากัน เพียงแต่เป็นรูปร่างที่ต่างกันเท่านั้น ลาภยศสรรเสริญและความเพลิดเพลิน ทำให้พองเบ่ง เสื่อมลาภเสื่อมยศถูกสบประมาทและหาความเพลิดเพลินมิได้ ทำให้ยุบเหี่ยว แต่ทั้งสองอย่าง ทำความหวั่นไหวโยกโคลงเท่ากัน กล่าวคือ เมื่อเขาได้สมใจอยาก เขาก็ได้ความหวั่นไหว เมื่อไม่ได้ก็ได้ความหวั่นไหวเช่นเดียวกัน เมื่อมืดมนหนักเข้า ก็แน่ใจลงเสียว่าความสุข หรือขณะที่เคยสุขนั่นแหละเป็น “บิ๊กแบงภายในใจเกิดขึ้น”(พระนิพพาน) เป็นการหลงผิดของความคิด และคิดอีกว่าชีวิตเราจะต้องหาความสุขนั้นมาอีก (สุขทางโลก) แต่เมื่อคิดดู เราพอจะเห็นได้ว่า นั่นยังไม่ได้ถอยห่างออกมาจากกองทุกข์แม้แต่นิดเดียว มันเป็นเพียงความสำคัญผิดเท่านั้น และเป็นความสำคัญผิดที่จะมัดตรึงตัวเองให้ติดจมอยู่กับ “หลุมดำ” นั่นอยู่ตลอดเวลา </div><div align="justify"><br />เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะเห็นได้สืบไปว่า การสำราญทางฝ่ายโลก หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ฝ่ายกาย หรือวัตถุ นั้นคืออะไร และเมื่อได้หมกมุ่นมัวแต่แสวงหาให้กายท่าเดียวแล้วจะเป็นอย่างไร หรืออีกอย่างหนึ่งว่า ถ้ารู้จักความสุขเฉพาะในด้านนี้ด้านเดียวแล้ว ก็จะรู้จักโลกเพียงซีกเดียวอย่างไร และยิ่งกว่านั้น คนที่รู้จักโลกเพียงซีกหนึ่งเช่นนี้ อาจหาญทำอารมณ์เหล่านี้ ให้เป็นเครื่องอำนวยความสะดวก หรือความเพลินแก่เขาได้ ซึ่งต่างกันกับผู้ที่เข้าใจโลกดีทั้งสองซีกไม่(ฝ่ายธรรม) เพราะต้องตกเป็นทาสของความมัวเมา ถึงกับบูชามันให้เป็นสิ่งสูงสุด กว่าสิ่งใดอยู่เสมอ ส่วนผู้ที่รู้จักโลกดีแล้วทั้งสองฝ่ายนั้น คือฝ่ายธรรม ย่อมบูชาความสำราญทางธรรม หรือฝ่ายใจอันแท้จริงเป็นส่วนสำคัญ และถือเอาส่วนกายหรือวัตถุเป็นเพียงเครื่องอำนวยความสะดวก ในฐานเป็นร่างที่อาศัยสำหรับรับใช้ ในการแสวงหา ความสำราญทางฝ่ายใจหรือเรียนอีกอย่างได้ว่า “จิตของตัวเรา” เท่านั้น พวกนี้จึงมีอุดมคติว่า “กายอยู่ในใจ” อย่างที่กล่าวไว้แล้ว </div><div align="justify"><br />การเป็นอิสระเหนือวัตถุนั้นเห็นได้ยาก ตรงที่ตามธรรมดาก็ไม่มีใครนึกว่า ตนได้ตกเป็นทาสของวัตถุ แต่อย่างใด ใครๆก็กำลังหาวัตถุ มากินมาใช้มาประดับ เกียรติยศของตน และบำเรอคนที่ตนรัก ทำให้เห็นไปว่า ตัวเรานั่นเป็นนาย มีอิสระเหนือวัตถุได้ เช่น มีเงินจะใช้มันเมื่อไรก็ได้ ส่วนความหม่นหมองใจที่เกิดขึ้น มากมาย หลายประการหามีใครคิดไม่ว่า นั่นเป็นอิทธพลของวัตถุที่มันครอบงำย่ำยีเล่นตามพอใจของมัน ดวงใจได้เสีย ความสงบเย็นที่ควรจะได้ไปจนหมด ก็เพราะความโง่เง่าของตัวเองที่ไปหลงบูชาวัตถุจนกลายเป็นของมีพิษสง ขึ้นมา ดวงใจที่แท้จริงก็ไม่อาจฟักตัวเจริญงอกงามขึ้นมาได้ เพราะขาดการบำรุงด้วยอาหาร โดยที่เจ้าของไม่เคยคิดว่า มันต้องการอาหารเป็นพิเศษยิ่งกว่ากาย สัญชาตญาณทั้งหลายชวนกันขึ้นนั่งบัลลังก์บัญชาการเต็มที่ ออกคำสั่ง ทับถมดวงใจที่แท้จริงหรือธรรมชาติฝ่ายสูง จนไม่ปรากฏสาละวน แต่แสวงหาอาหารตามอำนาจฝ่ายต่ำ หรือที่เรียก ในที่นี้ว่า กาย เมื่อใจขาดอาหาร แม้แต่ที่เป็นเบื้องต้นเช่นนี้แล้ว ก็ไม่งอกงามพอที่จะแจ่มใส ส่องแสงให้ผู้นั้นมองเห็นและถืออุดมคติแห่งความสุขทางใจได้ ชีวิตก็เป็นของมืดมนต้องร้องไห้ ทั้งที่ไม่รู้เห็นว่า มีอะไรมาทำเอา </div><div align="justify"><br />เมื่อเด็กๆที่เกิดมาในโลกไม่อาจสำนึกในปริยายนี้ได้ด้วยตนเองเช่นนี้แล้ว การศึกษาสรรพสิ่งของธรรมชาติ หรือที่เรียกว่า “ธรรม” เท่านั้น ที่จะช่วยได้ในเบื้องต้น การศึกษาธรรมทางฝ่ายหลักวิชา จึงเป็นอาหารของดวงใจในขั้นแรกและขั้นกลาง ก็คือ การย่อยหลักวิชาๆนั้น ออกด้วยมันสมองของตนเอง ได้ความรู้ความแจ่มแจ้ง ความโปร่งใส เยือกเย็น อะไรมานั่นเป็นอาหารชั้นปลายส่งเสริมกัน สืบไปให้เจริญจนสามารถไปถึง “บิ๊กแบงภายในใจ” (พระนิพพาน) ให้ปรากฏ จึงจะนับว่าถึงที่สุด </div><div align="justify"><br />เรื่องความเจริญงอกงามของดวงใจ ท่าน พุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวสอนไว้ว่า ความเจริญงอกงามของดวงใจหรือจิตนั้น ยังไปได้ไกลอีกมากมายนัก กล่าวคือกว่าจะถึง พระนิพพาน หรือ บิ๊กแบงภายในใจ (ที่ผู้เขียนนำมาเปรียบเทียบ) เมื่อไรนั่นแหละ จึงจะหมดขีดของทางไป แล้วมีอุดมสันติสุขอยู่ตลอดอนันตกาล ส่วนความเจริญทางกายนั้นไม่มีทางไปอีกต่อไป สูงสุดอยู่ได้เพียงแค่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เพราะว่า การแสวงหาทางฝ่ายนี้ ต้องการ “ความไม่รู้จักพอ” นั่นเอง เป็นเชื้อเพลิงอันสำคัญแห่งความสำราญ ถ้าพอเสียเมื่อใด ก็หมดสนุก ! ใครจะขวนขวายอย่างไรก็ไม่อาจได้ผลสูงไปกว่าการสยบซบซึมอยู่ท่ามกลางกองเพลิง แห่งความถูกปลุกเร้าของตัณหาความต้องการ เพราะฉะนั้น การแสวงหาทางฝ่ายใจ เพื่อดวงใจหรือจิต จึงเป็นสิ่งที่มีค่า น่าปฏิบัติทำมากกว่า เป็นศิลปะกว่า เป็นอุดมคติที่สูงกว่า จริงอยู่ที่ทำยาก แต่น่าสรรเสริญกว่า หอมหวนกว่า เยือกเย็นกว่า ฯลฯ กว่า โดยทุกๆปริยาย บิ๊งแบงภายในใจจึงจะเกิด </div><div align="justify"><br />ดังนั้นมนุษย์เราจึงมีทางเลือกที่จะเดินทางไปว่า “หลุมดำ หรือ บิ๊กแบง” หรือจะมีอุดมคติที่จะเลือกว่า “ใจอยู่ในกาย หรือ กายอยู่ในใจ” ถ้าใจอยู่ในกายเราก็จะโดนกายบังคับใจไปลงหลุมดำ แต่ถ้ากายอยู่ในใจ ใจเราก็สามารถบังคับกายได้ และพัฒนาการฝึกให้ไปถึงบิ๊กแบงภายในใจ การแสวงความสำราญทางฝ่ายกาย เป็นต้นเหตุแห่ง “สงคราม” การแสดงความสำราญทางฝ่ายจิต เป็นต้นเหตุ “แห่งสันติภาพ”</span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-34030597264381581512007-08-07T02:44:00.000-07:002007-08-07T08:29:47.225-07:00สิ่งที่เล็กย่อมเป็นสิ่งที่ใหญ่ได้ สิ่งที่ใหญ่ย่อมเป็นสิ่งที่เล็กได้<div align="justify"><span style="font-family:arial;">การเน้นสอนให้เข้าถึงสภาวธรรมของธรรมชาติสรรพสิ่ง อาจอาศัยวิธีจากภายนอกเข้ามาเป็นสิ่งพิจารณาด้วยปัญญา ไม่มุ่งเน้นแต่เรื่องของความเป็นอริยบุคคล และโดยไม่อาศัยรูปแบบและพิธีกรรมใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้ไม่เน้นเรื่องราวในพระคัมภีร์มากนักเอาแต่เพียงหัวข้อธรรมที่สำคัญ ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่สูตร ที่มากเหลือคณานับ แต่สิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจนมากที่สุดในการสอนก็ คือ มุ่งเน้นให้อยู่กับความจริงทั้งปวงของชีวิต ความจริงทั้งทางด้านการปฏิบัติธรรม ความจริงของบุคคลที่เป็นอยู่ โดยไม่ให้มีสิ่งอื่นใดเข้ามาแอบแฝงในความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อยนิด นอกจากนี้แล้วยังสอนพื้นฐานให้คนเห็นความเป็นจริงของตัวเองด้วยว่า ความจริงตัวเองเป็นใคร นิสัยเป็นอย่างไรและควรปรับปรุงตัวอย่างไร จากนั้นจึงหันเข้าหาธรรมชาติทั้งปวง ไม่ว่าจะเรื่องของความไม่เที่ยงของสังขาร หรือเรื่องความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของต้นไม้ ภูเขา ลำธาร สายน้ำ เพื่อเป็นเชื้อให้จิตนั้นค่อยๆ ปรับระดับความเป็นจิตแห่ง “สภาวพุทธะ” หรือ “สภาวะความเป็นจริงแท้” นอกจากนี้ การมุ่งเน้นสอนเรื่องอันว่าด้วยบริสุทธิ์แห่งจิต ซึ่งมีอยู่ในคนทุกคนในสิ่งทุกๆสรรพสิ่งแล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาสที่จะพบเท่านั้นเอง อันเนื่องจากความบริสุทธิ์แห่งจิตใจยังไม่เพียงพอ หากจะให้เห็นอย่างพอดีก็ คือ ต้องมีสติปัญญาควบคู่กันไปด้วย จึงจะทำให้ทราบว่า จิตเดิมแท้เป็นสภาพอย่างไร การอาศัยแต่เรื่องของธรรมชาติเท่านั้นในการปฏิบัติจะเป็นการเข้าถึงความจริงได้ของจิต </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />มนุษย์ไม่ได้เกิดมาในโลกแต่เพียงลำพัง นอกจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเรายังมีเพื่อนร่วมโลกจำนวนมากมายมหาศาล ไกลออกไปยังห้วงจักรวาลเรายังอาจมีเพื่อนที่ยังไม่รู้จักกันอีกจำนวนไม่ได้ มนุษย์ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล หากแต่มนุษย์ยังกำลังอยู่ท่ามกลางสิ่งไร้ชีวิตจำนวนมหึมาไม่ว่าจะเป็นดวงดาว ฝุ่นธุลี หรือวัตถุหลากหลายประเภท มนุษย์นั้นมองได้หลายแง่ มนุษย์อาจมีความสามารถที่จะกำหนดความเป็นไปหลายอย่างในชีวิตตนเอง แต่กระนั้นสิ่งหนึ่งที่เป็นแง่จริงของความเป็นมนุษย์ที่คงไม่มีใครปฏิเสธก็คือ ในบางสถานการณ์มนุษย์ไม่ได้เป็นอิสระเด็ดขาดจากจักรวาล เราอาศัยอยู่บนดวงดาวเล็กๆ ดาวหนึ่งที่เรียกว่าโลก โลกใบนี้ก็ไม่ได้เป็นอิสระเลย มันต้องหมุนไปตามทิศทางที่ถูกกำหนดโดยดวงดาวดวงอื่นๆ ในระบบสุริยะ ระบบสุริยะเองก็หาได้เป็นอิสระไม่ มันยังต้องหมุนเหวี่ยงตัวมันเองไปตามทิศทางที่ถูกกำหนดโดยกลุ่มดาวกลุ่มอื่นๆ ภายในกาแล็กซีนี้ และกาแล็กซีที่เราอยู่นี้ก็ได้เป็นอิสระไม่ มันยังต้องเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางที่ถูกกำหนดโดยกาแล็กซีอื่นๆ สรรพสิ่งในจักรวาลต่างอิงอาศัยและสัมพันธ์เนื่องถึงกัน </div><div align="justify"><br />โลกแห่งธรรมชาติความเป็นจริงแท้นั้น อาจเป็นแสงสว่างที่ฉายออกมาจากพระผู้เป็นเจ้า และโดยอาศัยแสงสว่างนั้นเองที่ทำให้พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นความจริง โลกแห่งธรรมชาติเป็นโลกแห่งมโนคติ เป็นแบบพิมพ์เดิมของโลกแห่งประสาทสัมผัสและโลกแบบพระผู้เป็นเจ้าด้วย ในพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบันที่เป็นนิรันดร์เท่านั้นเอง ความจริงก็ไม่เชิงถูกต้องนัก ที่ว่า เมื่อไม่มีอดีต - ไม่มีอนาคต ปัจจุบันก็ไม่น่าจะมีด้วย เพราะฉะนั้นเราอาจจะเรียกรวมๆ ได้ว่าไม่ขึ้นอยู่กับอะไรทั้งสิ้น เป็นภาวะ เสถียรภาพและความเคลื่อนไหว และรู้ว่าแต่ละอย่างนั้นเป็นภาวะ ณ ขณะนี้ ปัจจุบันนี้ที่เป็นอยู่นี้ที่เทียงแท้ สิ่งที่มีอยู่ในสภาวะจริงนั้น ย่อมเห็นในตัวมันเองในสิ่งทั้งปวงด้วย ในที่ทุกหนทุกแห่งจึงเชื่อว่ามีสิ่งทั้งปวง แต่ละสิ่งก็เป็นสิ่งทั้งปวงและมีความสว่างไสวไม่มีที่สิ้นสุด แต่ละอย่างล้วนยิ่งใหญ่ทั้งนั้นในตัวมันเอง สิ่งที่เล็กก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ณ ที่นั้น ดวงอาทิตย์ก็เป็นดวงดาวทั้งปวง และดวงดาวแต่ละดวงก็เป็นดวงอาทิตย์ด้วย นี่เราจะเห็นได้ว่าอาจจะฟังยากสักหน่อย แต่ถ้าหากเราพิจารณาถึงความเป็นจริงตามหลักของปรัชญาและอภิปรัชญาแล้ว เราจะเห็นได้ว่า ความใหญ่และความเล็กนั้น ความจริงก็เป็นอันเดียวกัน คือ เมื่ออยู่ในที่หนึ่งเราอาจจะเห็นว่าเล็ก แต่อยู่ในอีกที่หนึ่งเราอาจจะเห็นว่าใหญ่ อย่างเช่น หนังสือที่ผู้อ่านถืออยู่ในมือนี้ ซึ่งเราเองก็ถือว่ามันไม่ใหญ่นัก แต่ถ้าเมื่อเทียบกับสิ่งที่เล็กมันก็กลายเป็นสิ่งที่ใหญ่ได้ เช่น ตัวอักษรทุกตัวในหนังสือเล่มนี้ถ้านำมาต่อเรียงกันให้ยาว มันก็อาจจะยาวเป็นกิโลเมตรได้ แต่ถ้าเราเอาหนังสือเล่มนี้มาเทียบกับตัวเรา หนังสือเล่มนี้ก็ดูเล็กลงไป ทำให้เราสามารถพกพาไปไหนมาไหนได้เพื่อความสะดวก เพราะฉะนั้น หนังสือเล่มนี้ก็เป็นสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวอักษรที่สามารถบรรจุตัวอักษรได้ หรืออาจพูดได้ว่าหนังสือนี้เป็น “ทั้งสิ่งที่เล็ก และ เป็นทั้งสิ่งที่ใหญ่” อยู่ในตัวเดียวกัน ดวงอาทิตย์ก็เช่นกัน เราคิดว่าดวงอาทิตย์เราใหญ่โตมโหฬาร แต่ความจริงแล้วดวงอาทิตย์ก็เป็นดวงดาว ดวงหนึ่งและดวงดาวบางดวงอาจจะใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ของเราเสียอีก เพราะฉะนั้นดวงอาทิตย์แต่ละดวงก็เป็นดวงดาวด้วย เป็นดวงอาทิตย์ด้วยในตัวเดียวกัน คือ ถ้าเรามองจากโลกของเรานี้ เราก็เห็นว่าดวงอาทิตย์เป็นดวงอาทิตย์ดวงหนึ่ง แต่ถ้าเรามองจากโลกอื่นหรือกาแล็กซีอื่น เราจะเห็นเป็นดวงอาทิตย์เป็นแค่ดวงดาวดวงหนึ่ง อย่างที่เราเคยพูดกันในด้านของดาราศาสตร์ที่ว่า ที่เราเห็นดวงดาวกันบนท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่นั้น บางดวงก็เป็นดวงอาทิตย์ด้วย เพราะมันอยู่ไกลเราจึงมองเห็นว่ามันเล็ก เราต้องกินเวลาตั้งหลายๆล้านปีแสงในการเดินทางกว่าจะไปถึงมัน เราถึงจะเห็นมันเป็นดวงอาทิตย์ได้ </div><div align="justify"><br />“จิต” ของเราก็เช่นเดียวกัน เป็นสิ่งที่มองเห็นไม่ได้ จับต้องไม่ได้ แต่ “รู้สึกได้” เป็นสิ่งที่ดูเหมือนเล็กและเป็นสิ่งที่ใหญ่มโหฬารได้ คำว่า “จิต” (Mind) เป็นคำศัพท์พยางค์เดียว ซึ่งความรู้สึกเป็นสิ่งที่ดูเล็ก แต่ความหมายของคำว่า “จิต” นั้น ความรู้สึกเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน ตัวอักษรอักขระทุกตัวในหนังสือที่กำลังอ่านเล่มนี้ “จิต” เป็นตัวรับรู้ เรียนรู้ ที่มีอยู่ในตัวเราๆทุกคน ณ ขณะนี้! และที่นี่! ที่ผู้อ่านกำลังอ่านอยู่ตลอดนี้! ขณะที่จิตสัมผัสอยู่นี้ ผู้อ่านไม่รู้ตัวหรอกว่า จิตกำลังรับรู้หรือเรียนรู้อยู่ขณะนี้ เป็นการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาไม่ขึ้นอยู่กับอะไรทั้งสิ้น เป็นภาวะ เสถียรภาพ และ ความเคลื่อนไหว ณ สภาวะขณะนี้ ไม่มีอดีตไม่มีอนาคต ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว “จิต” ในตามทรรศนะของคนเรานั้นดูเป็นสิ่งที่เล็ก แต่สิ่งที่เล็กนี้ ก็เป็นตัวสิ่งที่เรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นเดียวกัน เป็นการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาของทุกขณะจิต ขณะเดียวกันทั้งๆที่มนุษย์เปี่ยมไปด้วยสิ่งเหล่านี้ที่เรียกว่า “จิต” นี้ แต่ความจริงมีอยู่ว่า มีไม่มากนัก หรือมีน้อยคนเหลือเกินที่จะชื่นชมในตนเองในสิ่งนี้ที่เรียงกว่า “จิต” ที่มีอยู่ในตัวทุกคนอยู่แล้วที่จะพัฒนาไปเป็น “ปัญญา” เราไม่ตระหนักถึงความปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ของตัวเอง ถือเอาว่า ตนนั้นเป็นผลิตผลที่สำเร็จรูปมาเรียบร้อยแล้ว ทั้งๆที่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเพียงรูปกายวัตถุดิบก็ตามที </div><div align="justify"><br />นี่คือความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ ความสูญค่าแห่งธรรมชาติในตัวเราเอง คือ มนุษย์ที่ไม่ได้รับการพัฒนาทางด้านจิตใจ คนส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับแรกเริ่มที่สุดของจิต เมื่อเทียบกับจุดที่จะสามารถพัฒนาหรือยกระดับขึ้นไปได้อีกมาก เพราะฉะนั้น “ในสิ่งที่เล็กมันก็เป็นสิ่งที่ใหญ่ด้วยในตัวเดียวกัน และ ในสิ่งที่ใหญ่นั้นก็เป็นสิ่งที่เล็กด้วยในตัวเดียวกัน”</span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-65611620593648092782007-08-07T02:43:00.000-07:002007-08-07T08:36:32.825-07:00จักรวาลที่มี บิ๊กแบงจึงเกิด<div align="justify"><span style="font-family:arial;">เมื่อกล่าวถึง “จักรวาล” มีประเด็นมากมายที่เราสามารถหยิบยกมาขบคิดหรืออภิปรายกันในทางปรัชญา ก่อนที่จะกำหนดประเด็นสำหรับอภิปรายขอให้เรามาตกลงกันก่อนว่า คำว่าจักรวาลหมายความเอาแค่ไหน คำว่าจักรวาลในที่นี้หมายเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นดวงดาว กลุ่มดาว กาแล็กซี่ ฝุ่นธุลี วัตถุในรูปลักษณะต่างๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียด ตลอดจนภาวะทางนามธรรมที่ไม่อาจสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไม่ว่าจะอยู่ ณ ตำแหน่งใดในอวกาศ รวมกันเข้าแล้วเราจะเรียกว่า “จักรวาล” โดยคำนิยามนี้จึงไม่มีสิ่งใดที่อยู่นอกจักรวาล โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ก็คือส่วนหนึ่งของจักรวาล มนุษย์เองก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลด้วย ดังนั้น คำว่ามนุษย์ โลก และจักรวาลจึงเป็นคำที่มีความสัมพันธ์เนื่องถึงกัน มนุษย์ไม่ได้อยู่โดยอาศัยเพียงตนเองเท่านั้น หากยังต้องอาศัยโลกเป็นสถานที่พำนัก โลกก็หาได้ลอยอยู่ในอวกาศโดยไม่มีความสัมพันธ์กับสิ่งอื่น ไม่มีจุดใดในจักรวาลนี้ที่เราสามารถชี้ลงไปว่าสามารถดำรงอยู่ได้โดยตัวมันเอง ผมเคยอ่านการศึกษาเชิงวิเคราะห์พุทธศาสนานิกายเซน ของรองศาสตราจารย์ ดร. สมภาร พรมทา ท่านกล่าวไว้น่าฟังที่ว่า “สรรพสิ่งในจักรวาลล้วนอิงอาศัยและผลักดึงซึ่งกันและกัน เมื่อกล่าวถึงจักรวาล มีปัญหาอยู่สองเรื่องที่คนพยายามขบคิดและแสวงหาคำตอบมานาน” </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />ปัญหาแรก คือ กำเนิดของจักรวาล มนุษย์เราเชื่อกันว่า สิ่งที่มีอยู่ทุกอย่างย่อมเป็นผลผลิตของสิ่งที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ ไม่มีสิ่งใดสามารถอุบัติขึ้นจากความว่างเปล่า ดังนั้น เราทุกคนย่อมต้องมีบรรพบุรุษ แต่บรรพบุรุษของเราจะมีไม่ได้ถ้าไม่มีโลกที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้ โลกนี้จะมีไม่ได้ถ้าไม่มีวัตถุที่จะมารวมตัวกันกลายเป็นโลก แล้ววัตถุที่ว่านั้นมาจากไหน ปัญหานี้เป็นปัญหาที่ไม่รู้จัก เพราะไม่ว่าจะสืบสาวไปถึงสิ่งใด เราก็ยังสามารถตั้งคำถามได้ว่าสิ่งนั้นเป็นผลผลิตของอะไรได้เรื่อยไป ไม่ว่าเราจะสืบสาวหาที่มาของสิ่งใดในจักรวาลนี้เราจะพบปัญหาที่ว่านี้เสมอ </div><div align="justify"><br />ปัญหาที่สอง คือ ปัญหาธรรมชาติของจักรวาล สรรพสิ่งในจักรวาลนี้ดำเนินไปอย่างมีทิศทาง มีกฎระเบียบหรือไม่ หากมี ใครคือผู้วางระเบียบของจักรวาล แล้วนั้นคือใครเหล่า ปัญหานี้มีคนตอบหลายอย่าง แต่คำตอบทั้งหมดนั้นไม่มีสักคำตอบเดียวที่ไม่มีทางให้คนอื่นแย้งได้ เราจะใช้ปัญหาทั้งสองนี้เป็นประเด็นในการอภิปรายทัศนะเกี่ยวกับจักรวาลดังรายละเอียดต่อไปนี้ </div><div align="justify"><br />ดูเหมือนจะเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เมื่อมีใครถามปัญหาเกี่ยวกับกำเนิดของจักรวาลขึ้นในที่ชุมนุมคน หากในจำนวนคนเหล่านั้นมีชาวพุทธร่วมอยู่ด้วย เขาจะไม่สนใจร่วมอภิปรายปัญหาที่ว่านี้เด็ดขาด เหตุผลคือปัญหาที่ว่านี้อยู่ห่างไกลตัวเราเหลือเกิน พุทธศาสนาสนใจเฉพาะเรื่องใกล้ตัว สนใจเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ในชีวิต ไม่สนใจเรื่องที่อยู่ห่างตัวหรือเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆในชีวิต หากเป็นเพียงสมมติฐานที่ตั้งขึ้นเพื่อถกเถียงเอาชนะกันในเชิงสติปัญญาเท่านั้น ความเข้าใจข้างต้นมีส่วนถูกอยู่มาก ที่ว่าถูกหมายความว่า ในฐานะที่เป็นชาวพุทธเขาย่อมต้องดำเนินชีวิตโดยยึดเอาคำสอนของพระพุทธองค์เป็นหลัก มีหลักฐานแสดงเอาไว้ชัดเจนว่าพระพุทธองค์ไม่ทรงสนใจ </div><div align="justify"><br />อภิปรายปัญหาที่อยู่ไกลตัวมนุษย์ ปัญหาเหล่านี้ทรงพิจารณาเห็นว่า แม้เราจะทราบคำตอบ แต่เนื่องจากว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวเหลือเกิน ดังนั้น มันจึงไม่มีผลกระทบต่อตัวเรา รู้ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ชีวิตของเราก็ยังคงดำเนินไปตามปกติได้ อีกประการหนึ่ง ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่ไม่อาจตอบได้เด็ดขาดแน่นอนลงไป มีคนพยายามตอบหลายแง่หลายทาง แต่ทุกคนมีแง่ให้แย้งได้ทั้งสิ้นการที่ไม่ทรงร่วมอภิปรายด้วยอาจเป็นเพราะทรงพิจารณาเห็นดังที่กล่าวมานี้ก็ได้ </div><div align="justify"><br />จะอย่างไรก็ตาม อาจมีชาวพุทธบางคนเห็นว่า หากเรายอมรับว่าสรรพสิ่งในจักรวาลเนื่องสัมพันธ์ถึงกันหมด ดังนั้นเราย่อมบอกไม่ได้ที่ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเรา การพยายามค้นหาคำตอบเกี่ยวกับความลี้ลับต่างๆ ในจักรวาลอาจไม่ช่วยให้เราดับทุกข์ในชีวิตได้ แต่ปัญหาที่มนุษย์กำลังเผชิญอยู่ไม่ได้มีเพียงปัญหาการดับทุกข์ในชีวิตเท่านั้นเรายังต้องเผชิญปัญหาภายนอกตัวเราอีกมากมาย ขอให้นึกวาดภาพง่ายๆ ก็ได้ว่าหากวันหนึ่งอยู่ๆ ดวงอาทิตย์ที่เคยส่องแสงมายังโลกของเรานี้เกิดดับลง วันนั้นมนุษย์ทั้งโลกจะเลิกสนใจปัญหาที่ว่าทำอย่างไรจึงจะดับกิเลสภายในใจได้ทันที สิ่งที่เราสนใจมากที่สุดในเวลานั้น คงไม่ใช่เรื่องการดับทุกข์ หากแต่น่าจะเป็นเรื่องที่ว่าทำอย่างไรเราจึงจะไม่ตายกันทั้งโลกมากกว่า สมมติฐานที่ว่าวันหนึ่งข้างหน้าดวงอาทิตย์ต้องดับลงแน่นอนนี้อย่างน้อยที่สุดก็มีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ทฤษฎีหนึ่งสนับสนุนอยู่ หากว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ทฤษฎีนี้คาดหมายไว้ วันหนึ่งจะเป็นวันที่จักรวาลทั้งหมดตกอยู่ในภาวะหนาวเย็นและมืดสนิท ไม่มีความร้อน ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น นั่นย่อมหมายความว่า คนเราซึ่งเป็นส่วนประกอบเล็กๆ ส่วนหนึ่งของจักรวาลย่อมจะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปพร้อมกับชีวิตอื่นๆที่มีอยู่ กฎของเทอร์โมไดนามิกส์ดูจะชวนให้เราสงสัยอย่างช่วยไม่ได้ว่าจักรวาลกำลังดำเนินไปสู่จุดจบ นั่นย่อมหมายความว่า เมื่อถึงที่สุดจะไม่มีสิ่งใดในจักรวาลนี้สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เลย จะอย่างไรก็ตามอาจมีคนพูดว่า เมื่อถึงเวลานั้นพระเจ้าจะทรงชุบชีวิตให้แก่จักรวาลอีกครั้งหนึ่ง แต่การพูดเช่นนี้เป็นการพูดเพราะความศรัทธา ไม่ใช่พูดเพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน หลักฐานทางวิทยาศาสตร์บอกเราว่าเวลานี้จักรวาลกำลังคืบคลานไปอย่างช้าๆ สู่จุดหมายอันจะส่งผลให้เกิดสภาพอันน่าหวากหวั่นต่อโลกเรานี้ ไม่เพียงเท่านั้น จักรวาลยังกำลังคืบคลานไปอย่างช้าๆ สู่จุดจบอันน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าที่กล่าวมานี้อีก นั่นคือความตายของจักรวาลทั้งจักรวาล หากนี่คือสิ่งชี้บอกว่าพระเจ้าทรงสร้างจักรวาลมาอย่างมีจุดหมาย ผมก็คงพูดได้เพียงว่า จุดหมายนี้มิได้ดึงดูดใจข้าพกระผมแม้แต่น้อย กระผมมองไม่เห็นเหตุผลที่จะเชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าในรูปแบบใด กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าในความหมายที่คลุมเครือหรือที่ถูกปรับเพื่อให้ง่ายต่อการยอมรับก็ตาม<br />นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าคนเรามีปัญหาภายนอกที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การศึกษาเชิงวิเคราะห์พุทธศาสนานิกายเซน ของรองศาสตราจารย์ ดร. สมภาร พรมทา ยังกล่าวอีกว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาของจักรวาลทั้งหมด เมื่อจักรวาลประสบภาวะใดเราในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลย่อมพลอยได้รับผลกระทบจากภาวะนั้นด้วย พิจารณาจากแง่มุมนี้ดูเหมือนจะเป็นการยากยิ่งที่จะจำแนกว่าปัญหาใดเป็นปัญหาที่อยู่ไกลตัวเราและปัญหาใดเป็นปัญหาที่อยู่ใกล้ตัว อนึ่ง ปัญหาที่ครั้งหนึ่งในอดีตมีคนคิดว่าเป็นปัญหาที่ไม่มีทางหาข้อสรุปที่แน่นอนได้ ปัจจุบันดูเหมือนจะเริ่มคนมองเห็นลู่ทางในการตอบชัดขึ้น ดังนั้น ที่เรากล่าวว่า มีปัญหาบางปัญหาที่พระพุทธเจ้าองค์ไม่ทรงตอบเพราะเป็นปัญหาที่ไม่อาจหาคำตอบที่แน่ชัดได้นั้น เรามีเหตุผลอะไรสนับสนุนความคิดที่ว่านั้น เราแน่ใจได้อย่างไรว่าปัญหาเหล่านี้ตอบไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาต้นกำเนิดของจักรวาล ในอดีตนักปรัชญาจำนวนไม่น้อยพยายามค้นหาคำตอบ ในปัจจุบันก็ยังมีนักปรัชญาจำนวนหนึ่งพยายามตอบปัญหานี้ แต่เมื่อเทียบดูความเปลี่ยนแปลงระหว่างวิธีการหาคำตอบของคนในอดีตกับคนในปัจจุบัน เราจะเห็นได้ชัดว่า แต่เดิมนักปรัชญาใช้เพียงความคิดและเหตุผลล้วนๆ เพื่อหาคำตอบ แต่ปัจจุบันนักปรัชญามีข้อมูลการค้นคว้าหาทางวิทยาศาสตร์ช่วยในการแสวงหาคำตอบ ปัญญาที่ครั้งหนึ่งเราคิดว่าตอบยากเริ่มตอบง่ายขึ้น แม้จะยังไม่อาจตอบได้แน่ชัดลงไป แต่คำตอบเท่าที่มีอยู่เวลานี้เมื่อเทียบกับคำตอบในอดีตเราจะเห็นว่ามีเหตุผลและหลักฐานสนับสนุนหนักแน่นมากขึ้น สติปัญญาของมนุษย์พัฒนาอยู่ทุกวินาที ดังนั้น เราย่อมบอกไม่ได้ว่าปัญหาที่วันนี้เราคิดว่าตอบไม่ได้คนในวันหน้าจะตอบไม่ได้เหมือนเรา เรื่องกำเนิดของจักรวาลก็เช่นกัน ข้อเสนอของนักปรัชญาในวันนี้แม้จะยังไม่ใช้ข้อยุติแต่ก็เป็นข้อเสนอที่เป็นรูปร่าง มีเหตุผลและหลักฐานสนับสนุนมากกว่าแต่ก่อน เท่าที่กล่าวมาเราคงพอมองเห็นว่า เป็นการยากที่เราจะบอกว่าปัญหาใดเราไม่มีทางตอบ เมื่อเราไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนสำหรับใช้ชี้ว่าปัญหานี้ไม่มีทางตอบ เราย่อมไม่มีสิทธิ์บอก ว่าอย่าสนใจปัญหานี้ แต่จงสนใจปัญหานั้น เพราะทุกปัญหามีฐานะเท่ากันหมด มีอาจารย์ท่านหนึ่ง ในนิกายเซนมีกระแสความคิดที่สนใจปัญหาที่ว่านี้และได้ให้คำตอบต่อปัญหาที่ว่านี้ไว้ เจ้าของความคิดที่ว่านี้ คือ ท่านฮวงโปอาจารย์เซน ในสมัยราชวงศ์ถัง ขอให้เรามารองดูข้อความต่อไปนี้กันดู </div><div align="justify"><br />พระพุทธเจ้าทั้งปวงและสัตว์โลกทั้งสิ้นไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียงจิตหนึ่ง (One Mind) นอกจากจิตหนึ่งนี้แล้วมิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย จิตหนึ่งซึ่งเป็นที่ปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น และไม่อาจจะถูกทำลายได้เลย มันไม่ใช่เป็นของสีเขียวหรือสีเหลืองหรือขาวดำ และไม่มีทั้งรูป ปรากฏมันไม่ถูกนับรวมอยู่ในบรรดาสิ่งทั้งที่มีการตั้งอยู่และไม่มีการตั้งอยู่ มันไม่อาจจะถูกลงความเห็นว่าเป็นของใหม่หรือของเก่า มันไม่ใช่ของยาวของสั้น ของใหญ่ของเล็ก ทั้งนี้เพราะมันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัด เหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้ และเหนือการเปรียบเทียบทั้งหมดทั้งสิ้น ท่านฮวงโป มีทัศนะว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลนี้กำเนิดมาจากสิ่งที่ท่านเรียกว่าจิตหนึ่ง สิ่งต่างๆ จำนวนมากมายมหาศาลในจักรวาลนี้แม้จะแตกต่างกันอย่างไรแต่ทั้งหมดก็อาจจำแนกออกเป็นสองพวกใหญ่ๆ คือ “รูปธรรม” กับ “นามธรรม” ทั้งรูปธรรมและนามธรรมนี้มีแหล่งกำเนิดเดียวกัน คือ “จิตหนึ่ง” สรุปความง่ายๆ ว่าเมื่อครั้งที่จักรวาลนี้ยังว่างเปล่า ไม่มีดาวดวง ไม่มีสิ่งมีชีวิต ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ในภาวะนั้นมีสิ่งหนึ่งดำรงอยู่สิ่งนี้ท่านเรียกว่าจิตหนึ่ง จิตหนึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนกาลเวลา หมายความว่า เวลานั้นเริ่มต้นเมื่อมีรูปธรรมหรือนามธรรมเกิดขึ้นในจักรวาล ก่อนหน้านี้สิ่งเหล่านี้จะเกิดมี เวลาก็ไม่มี ในภาวะที่ปราศจากเวลาซึ่งจะยาวนานแค่ไหนไม่มีใครทราบนี้ ท่านฮวงโปถือว่ามีสิ่งที่เรียกว่าจิตหนึ่งดำรงอยู่แล้ว จิตหนึ่งไม่เป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรม ดังนั้น จิตหนึ่งนี้จึงไม่ใช่จิต พูดง่ายๆก็คือ เวลาที่อ่านพบคำว่าจิตหนึ่งในคัมภีร์ของท่านฮวงโป ให้เข้าใจว่าคำนี้ไม่ได้หมายถึงจิตใจที่อยู่ในตัวเรา ในทัศนะของท่านฮวงโป คนเราประกอบด้วย “กาย” กับ “จิต” กายเป็นรูปธรรม ส่วนจิตเป็นนามธรรม ทั้งกายและจิตนี้ท่านถือว่ามีต้นกำเนิดมาจากจิตหนึ่งจิตหนึ่งเป็นภาวะที่ละเอียดลึกซึ้ง เป็นภาวะที่ดำรงอยู่ก่อนที่จะมีรูปธรรมกับนามธรรมเกิดขึ้นในจักรวาล คุณสมบัติใดๆก็ตามที่เราสามารถกำหนดให้แก่รูปธรรมและนามธรรมคุณสมบัตินั้นๆทั้งหมดเราไม่อาจกำหนดให้แก่สิ่งที่เรียกว่าจิตหนึ่งนี้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า รูปธรรมกับนามธรรมเป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติ เช่น รูปธรรมเป็นสิ่งที่เราอาจสัมผัสได้ด้วยประสามสัมผัส แต่นามธรรมเป็นสิ่งที่ไม่อาจสัมผัสด้วยประสามสัมผัสหากแต่ต้องอาศัยจิตในการรับรู้เป็นต้น และคุณสมบัติเหล่านี้เราสามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดหรือภาษา แต่สิ่งที่เรียกว่าจิตหนึ่งปราศจากคุณสมบัติเหล่านี้โดยสิ้นเชิงซึ่งอธิบายได้อยาก ดังนั้นเราจึงไม่อาจอธิบายลักษณะของมันได้ด้วยคำพูด กล่าวคือ “มีมาตั้งแต่ไม่มีใครทราบ” นี่คือ การตีความสิ่งที่ท่านฮวงโปเรียกว่าจิตหนึ่งของท่าน เป็นที่น่าสังเกตว่าแนวความคิดในการอธิบายกำเนิดของจักรวาลในรูปกำหนดให้มีอะไรสักอย่างเป็นจุดเริ่มต้น แล้วให้คำนิยามจุดเริ่มต้นนั้นว่าเป็นสิ่งที่สามารถเกิดมีได้เอง ไม่มีเหตุปัจจัย เป็นสิ่งอยู่เหนือการหยั่งรู้ด้วยสติปัญญาและเหตุผล เป็นแนวทางหนึ่งที่มีคนใช้ค่อนข้างมาก ศาสนาอื่นที่เชื่อในเรื่องพระเจ้าก็มีวิธีอธิบายกำเนิดของจักรวาลในแนวเดียวกันนี้เช่นกัน </div><div align="justify"><br />สรุปความว่า ไม่ว่าเราจะหยิบยกเอาสิ่งใดก็ตามในจักรวาลนี้ขึ้นมาสาวหาที่มาที่ไปแล้ว เมื่อสาวไปจนถึงที่สุดแล้วจะพบว่าปฐมกำเนิดของสิ่งนั้นก็คือจิตหนึ่งนั่นเอง บางท่านอาจสงสัยเพราะเหตุใดท่านฮวงโปจึงให้ความสนใจเรื่องจิตหนึ่งนี้ เรื่องนี้ไม่เห็นเกี่ยวกับการดับทุกข์เลย ตอบว่า ในทัศนะของท่านฮวงโป การที่เราทราบว่าสรรพสิ่งถือกำเนิดมาจากสิ่งเดียวกันย่อมช่วยให้เราคลายความยืดมั่นในสิ่งต่างๆได้ ความยึดมั่นของคนเรานั้นสืบเนื่องมาจากการมองสิ่งต่างๆ อย่างแยกเป็นคู่กัน มองว่านี่สวย / นั้นน่าเกลียด เมื่อมองเช่นนี้เลยเกิดความยึดมั่น กล่าวคือ ชอบสิ่งสวยงามและเกลียดสิ่งที่น่าเกลียด แต่ถ้าเรามองลึกลงไปจนพบว่าทุกสิ่งมีต้นกำเนิดเดียวกัน ความเข้าใจอันนั้นจะทำให้เราคลายความยึดมั่นลง เมื่อมองเห็นตามความเป็นจริงว่าสิ่งที่ตนเองเข้าใจว่าสวยงามแท้ที่จริงก็มีสภาวะเดียวกันกับสิ่งที่เราเข้าใจว่าน่าเกลียด บุคคลย่อมวางใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่ง นอกจากจะช่วยให้เราคลายความยึดมั่นในความเป็นคู่ของสรรพสิ่ง ความเข้าใจเรื่องจิตหนึ่งนี้ยังเป็นพื้นฐานสำคัญของการเจริญกุศลธรรมด้วย ยกตัวอย่างเช่น การเจริญเมตตา ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจว่าตัวเรากับคนอื่นเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้เด็ดขาดตราบนั้นการเจริญเมตตาจะยังไม่สำเร็จผล เราจะเมตตาคนอื่นได้อย่างเต็มที่เมื่อเรารู้สึกว่าตัวเรากับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์หรือสิ่งที่ชีวิตในรูปใดๆ แท้ที่จริงนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน เรารักและหวงแหนอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเราเท่าเทียมกันก็เพราะเรามีความรู้สึกว่าอวัยวะเหล่านี้ทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเรา เช่นกันนั้น…หากเรามีความรู้สึกว่าตัวเรากับสรรพสิ่งในจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวกันเราย่อมจะมีความระมัดระวังในการวางตัวยิ่งขึ้น เพราะหากเกิดผลกระทบต่อสิ่งอื่นซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำของเราเอง เช่น ทำความสกปรกในสวนสาธารณะ การทำลายสภาพแวดล้อม การตัดต้นไม้ทำรายป่า ผลกระทบนั้นส่วนหนึ่งก็คือ ผลกระทบที่เราทำให้แก่ตัวเองนั่นเองทั้งสิ้น ขอให้สังเกตข้อความต่อไปนี้ดู </div><div align="justify"><br />คนธรรมดาทั่วไปทุกคนพากันปล่อยตัวไปตามความคิดปรุงแต่ง ซึ่งอาศัยปรากฏการณ์ทั้งหลายที่แวดล้อมอยู่ เพราะฉะนั้นเขาจึงเกิดความรู้สึกที่เป็นความรักและความชัง ถ้าจะขจัดปรากฏการณ์ซึ่งเป็นเครื่องแวดล้อมเหล่านั้นเสีย เธอก็เพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่งของเธอเสีย เมื่อการคิดปรุงแต่หยุดไป ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เป็นเครื่องแวดล้อม ก็กลายเป็นของว่างเปล่า เมื่อปรากฏการณ์ต่างๆกลายเป็นของว่างเปล่า ความคิดก็สิ้นสุดลง แต่ถ้าเธอพยายามขจัดสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นโดยไม่ทำให้การคิดปรุงแต่งหยุดไปเสียก่อน เธอจะไม่ประสบความสำเร็จ กลับมีแต่จะเพิ่มกำลังให้แก่สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นให้รบกวนเธอหนักขึ้น เพราะฉะนั้น สิ่งทั้งปวงก็ไม่ได้เป็นอะไรนอกจากจิต คือ จิตซึ่งสัมผัสไม่ได้ทางอายตนะ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว อะไรเล่าที่เธอหวังว่าอาจจะบรรลุได้...</span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-65694266984777847722007-08-07T02:42:00.000-07:002007-08-07T08:26:56.485-07:00ธรรมชาติของจักรวาล<div align="justify"><span style="font-family:arial;">แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เราทุกคนอาจเคยสงสัยว่าอะไรนะที่ทำให้ดวงจันทร์หมุนรอบโลก โลกหมุนรอบดวงตะวัน ดวงดาวอื่นๆ ต่างก็มีทิศทางที่แน่นอนในการโคจร สิ่งเหล่านี้ดำเนินบทบาทของตนไปอย่างมีระเบียบ มีความแน่นอน อะไรคือ สิ่งกำหนดให้ดวงดาว โลก ดวงตะวัน ดวงเดือนและสิ่งต่างๆ ให้ห้วงอากาศเป็นอย่างที่มันเป็น ไม่เป็นอย่างอื่นๆ หันมามองสิ่งต่างๆ รอบกายบนพื้นโลก เราอาจเคยสงสัยว่า อะไรนะที่ทำให้เม็ดมะม่วงเมื่อนำไปเพาะจึงงอกเป็นต้นมะม่วง ไม่เป็นต้นขนุนอะไรที่ทำให้วัตถุที่หลุดจากมือเราหล่นลงสู่พื้นไม่ลอยขึ้นบนท้องฟ้า ทำไมสิ่งมีชีวิตจึงต้องกินอาหาร ไม่กินไม่ได้หรือ ดอกกุหลาบที่เราเห็นนั้นมาจากไหน มาจากอาหารและแร่ธาตุที่ต้นกุหลายกินเข้าไปแล้วแปรเปลี่ยนมาเป็นดอกกุหลาบอย่างนั้นหรือ แต่แร่ธาตุและอาหารเหล่านั้นไม่มีลักษณะอย่างดอกกุหลาบนี้ พืชและสัตว์ในโลกนี้ช่างมีมากมายเหลือกิน แต่ละเผ่าพันธุ์ต่างก็มีลักษณะไม่ซ้ำแบบกัน ใครคือผู้จำแนกประเภทของสิ่งเหล่านี้ ใครคือผู้ออกแบบลวดลายบนปีกผีเสื้อ ใครคือผู้ออกแบบโครงสร้างอันซับซ้อนภายในสมองของคนเรา ปัญหาเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในจำนวนปัญหามากมายมหาศาลที่เราสามารถหยิบขึ้นมาตั้งข้อสงสัย จักรวาลนี้ช่วงเต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับมหัศจรรย์จริงๆ </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />ในอดีตมีคนไม่น้อยพยายามค้นหาคำตอบสำหรับข้อสงสัยเหล่านี้ ส่วนหนึ่งของความพยายามอันนั้นได้กลายมาเป็นสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ดูเหมือนจะเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า หน้าที่หลักอันหนึ่งของวิทยาศาสตร์ก็คือการเปิดเผยสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความลี้ลับมหัศจรรย์ของจักรวาล สมัยหนึ่งคนสงสัยกันว่าทำไมโลกจึงหมุนรอบดวงอาทิตย์ด้วยอัตราความเร็วที่คงที่ และด้วยเส้นทางโคจรที่แน่นอน ก็มีคนอย่างนิวตันให้คำอธิบายว่า เพราะระหว่างโลกกับดวงตะวันมีสิ่งหนึ่งยึดเหนี่ยวอยู่ สิ่งนี้นิวตันเรียกว่าแรงโน้มถ่วง หรือสมัยหนึ่งคนเราเคยรู้สึกพิศวงกับสิ่งที่เรียกว่าฟ้าร้องฟ้าแลบ ครั้นมีคนอย่างแฟรงคลินอธิบายว่า ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นผลมาจากสิ่งที่เขาเรียกว่าไฟฟ้าบนก้อนเมฆ ทุกคนก็หายสงสัย นี่คือตัวอย่างการพยายามอธิบายสิ่งลี้ลับในจักรวาลของวิทยาศาสตร์ </div><div align="justify"><br />เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์นั้น สิ่งหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์มีความเชื่อร่วมกันอยู่ก็คือ ความเป็นระเบียบแห่งจักรวาล นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายมีความเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาค้นพบคือแง่หนึ่งของความเป็นระเบียบในธรรมชาติ ทุกครั้งที่พวกเขาค้นพบความจริงใหม่ๆ พวกเขาคิดว่าความจริงที่ค้นพบนี้ล้วนมีความประสานกลมกลืนกับความจริงที่ยังไม่ค้นพบในธรรมชาติ จักรวาลในความนึกคิดของนักวิทยาศาสตร์คือระบบมหึมาที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างประสานกลมกลืน หน้าที่ของวิทยาศาสตร์คือการพยายามเปิดเผยให้เห็นความกลมกลืนสอดคล้องกันในธรรมชาติทั้งหมด พวกเขาใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งข้างหน้า ความลี้ลับทุกแง่ทุกมุมในธรรมชาติจะได้รับการเปิดเผย </div><div align="justify"><br />ในทัศนะของไอน์สไตน์ การทำงานของนักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากความเชื่อบางอย่างโดยเฉพาะความเชื่อในความเป็นระเบียบของจักรวาลจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนอย่างนิวตันยืนยันเสมอว่า เขาเชื่อในพระเจ้าอย่างเต็มที่ นิวตันเคยกล่าวเอาไว้ว่า จักรวาลถูกสร้างมาอย่างเหมาะเจาะ ตัวอย่างเช่นภายในระบบสุริยะของรานี้มีดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียว การมีดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียวทำให้โลกเราได้รับความร้อนพอดี นั่นย่อมหมายความว่าผู้ที่วางแผนสร้างจักรวาลเป็นผู้ที่รอบรู้อย่างยิ่ง สำหรับนิวตัน ความก้างหน้าทางวิทยาศาสตร์หาใช่อะไรไม่ หากแต่คือ การเปิดเผยให้เห็นความสมบูรณ์ของพระเจ้า ยิ่งเราค้นพบกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ในธรรมชาติมากเท่าใดเราจะยิ่งทึ่งและประหลาดใจในความรอบรู้และอัจฉริยภาพของผู้ที่สร้างจักรวาลนี้มากเท่านั้น ไอน์สไตน์เอง ก็เคยมีคนเข้าใจว่าเขาเป็นคนไม่นับถือศาสนา จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนถามเรื่องนี้กับเขา ไอน์สไตน์ตอบว่า “ข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้าแบบที่ สปิโนซ่ากล่าวไว้ คือ พระเจ้าผู้เปิดเผยตนเองในความกลมกลืนของสรรพสิ่ง ไม่ใช่พระเจ้าผู้คอยกำหนดชะตากรรมและการกระทำทุกอย่างของมนุษย์…” </div><div align="justify"><br />แม้ว่าไอน์สไตน์จะไม่เชื่อพระเจ้าที่เป็นบุคคลที่คอยทำหน้าที่กำหนดชะตากรรมและการกระทำของมนุษย์ดังเช่นที่ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิลก็ตาม แต่ไอน์สไตน์ก็ไม่ปฏิเสธพระเจ้าในความหมายที่สิโนซ่าตีความเรื่องของพระเจ้า ที่ไอน์ไตน์ยอมรับนี้ คือสิ่งเร้นลับอันแผงอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์อันน่าพิศวงในธรรมชาติ พระเจ้าในความหมายของภาวะที่ทำให้สรรพสิ่งในจักรวาลนี้ประสานกลมกลืนกันและกัน เพราะความเชื่อที่ว่านี้ หลายครั้งที่เมื่อไอน์สไตน์ให้ความเห็นทฤษฎีที่แสดงให้เห็นว่าธรรมชาติไม่มีความประสานกลมกลืนกัน เขาจะให้เหตุผลแบบทีเล่นทีจริงว่า... พระเจ้าคงไม่สร้างจักรวาลมาสุ่มสี่ห้าอย่างนั้น </div><div align="justify"><br />หากเราไม่ใส่ใจคำว่าพระเจ้าที่นิวตันและไอน์สไตน์กล่าวถึงนัก (เพราะเป็นคำที่สามารถสร้างปัญหาถกเถียงในทางปรัชญาได้มากมาย) เราจะเห็นว่าสาระของสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกเหล่านี้กล่าวไว้ก็คือ เบื้องหลังการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ คือ ความเชื่อในความเป็นระเบียบของจักรวาล ความเป็นระเบียบที่ว่านี้ไม่ใช่สิ่งเร้นลับ หากแต่เป็นสิ่งที่เราสามารถประจักษ์ด้วยประสาทสัมผัสในชีวิตประจำวัน ดวงอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าและตกตอนเย็นทุกวัน ฤดูกาลผันเวียนมาอย่างสม่ำเสมอ กฎเกณฑ์ต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับโลกก็คงไม่เปลี่ยนแปลง ระบบชีวิตของคนสัตว์ และพืชก็คงเป็นระบบเดิม นี่คือความคงที่เป็นระบบระเบียบของโลกที่เรามองเห็นได้ในชีวิตประจำวัน </div><div align="justify"><br />พุทธศาสนาเองก็มีความเชื่อในความเป็นระเบียบของจักรวาล มีหลักธรรมอยู่หมวดหนึ่งที่แสดงถึงความเชื่อที่ว่านี้ หลักธรรมหมวดนี้มีชื่อว่า “นิยาม” นิยามมีความหมายหลายนัย แต่นิยามหนึ่งที่เราจะกล่าวในที่นี้ คือ ชาวพุทธเชื่อว่าสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ดำเนินไปอย่างมีระเบียบ มีกฎเกณฑ์ ตัวอย่างเช่น เมื่อเอาเมล็ดข้าวเปลือกไปเพาะ เราจะได้ต้นข้าว ความสม่ำเสมอที่ว่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เราสรุปขึ้นจากการสังเกตธรรมชาติของต้นข้าว แต่สรุปจากความเชื่อที่ว่าเบื้องหลังความสม่ำเสมอนี้มีสิ่งหนึ่งกำหนดอยู่ สิ่งนี้เป็นภาวะทางนามธรรมที่ไม่อาจสัมผัสได้ด้วยประสามสัมผัส สิ่งที่เราสัมผัสได้มีเพียงการแสดงตัวของภาวะที่ว่านี้เท่านั้น ภาวะดังกล่าวนี้ชาวพุทธเรียกว่านิยาม นิยามนี้เองที่อยู่เบื้องหลังความเป็นเหตุเป็นผลของสรรพสิ่ง จักรวาลดำเนินไปอย่างมีระเบียบก็เพราะนิยามควบคุมให้เป็นไปเช่นนั้น นิยามไม่ใช่คำสมมติเรียกภาวะที่จักรวาลดำเนินไปอย่างมีระเบียบ หากแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แม้จักรวาลนี้จะว่างเปล่าจากสรรพสิ่ง นิยามก็ยังมีอยู่ เพราะเชื่อเช่นนี้ ชาวพุทธจึงเชื่อ สมมติว่าอยู่ๆวันหนึ่ง จักรวาลนี้เกิดว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ในภาวะเช่นนั้นย่อมไม่มีสิ่งอันจะดำเนินไปตามการควบคุมของนิยาม นิยามก็ไม่สามารถแสดงตัวของมันออกมาได้ หากแต่อยู่ในภาวะนิ่งสงบ ต่อเมื่อใดที่มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมาในจักรวาลอีกครั้ง เมื่อนั้นนิยามจะออกมาแสดงบทบาท เมล็ดข้าวเมล็ดใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากที่จักรวาลว่างเว้นจากการมีเมล็ดข้าว เมื่อถูกนำไปเพาะจะกลายเป็นต้นข้าวเหมือนเดิม พุทธศาสนาเราเชื่อเช่นนั้น เพราะเชื่อในความมีอยู่ของนิยาม หากนิยามเป็นเพียงชื่อที่สมมติขึ้นเพื่อเรียกอาการที่ทุกสรรพสิ่งทั้งหมดดำเนินไปอย่างมีระเบียบ เราย่อมปราศจากพื้นฐานที่จะเชื่อตามที่กล่าวมานั้น กล่าวคือ หากเราไม่เชื่อว่าคำนิยามเป็นสิ่งที่มีอยู่แม้จะไม่มีสิ่งอันใดจะดำเนินไปตามนิยาม เราย่อมไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อว่าเมล็ดข้าวเมล็ดใหม่ที่เกิดขึ้นจะมีระเบียบในตัวมันเอง เหมือนกับเมล็ดข้าวทั้งหลายก่อนหน้าที่จักรวาลจะว่างเปล่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่อาจเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงก็ได้ เมื่อไม่มีนิยาม อะไรจะเป็นหลักประกันได้ว่าสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่จะเป็นเหมือนที่มันเคยเป็นจากที่กล่าวมานี้ การศึกษาเชิงวิเคราะห์พุทธศาสนานิกายเซน ของท่าน รองศาสตราจารย์ ดร. สมภาร พรมทา สรุปได้ว่า เมื่อกล่าวถึงจักรวาล มีประเด็นที่คนเราสนใจอยู่สองประเด็น คือ </div><div align="justify"><br />- จักรวาลดำเนินไปอย่างมีระเบียบหรือไม่<br />- หากจักรวาลดำเนินไปอย่างมีระเบียบ อะไรคือสาเหตุของความมีระเบียบดังกล่าวนั้น </div><div align="justify"><br />จะเห็นว่าทั้งสองประเด็นนี้ ประเด็นแรกพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์มีความเห็นสอดคล้องกันว่า จักรวาลนี้ดำเนินไปอย่างมีระเบียบ แต่ประเด็นที่สอง ที่พุทธศาสนามองต่างจากวิทยาศาสตร์ นิวตันเชื่อว่าที่จักรวาลดำเนินไปอย่างมีระเบียบเพราะนั่นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า พระเจ้าทรงควบคุมให้สิ่งเหล่านี้เป็นอย่างที่มันเป็นไอน์สไตน์เชื่อว่าเบื้องหลังความเป็นระบบระเบียบของจักรวาลคือพระเจ้าแบบที่สปิโนซ่าตีความ แม้ว่าพระเจ้าที่ไอน์สไตน์เชื่อนี้ จะต่างจากพระเจ้าของนิวตันในแง่การตีความ แค่พื้นฐานความคิดของทั้งสองคนนี้ยืนอยู่บนทัศนะแบบเทวนิยมเหมือนกัน แต่ชาวพุทธเชื่อว่านิยามที่ควบคุมความเป็นระเบียบของจักรวาลไม่ใช่พระเจ้า เพราะพุทธศาสนาไม่เชื่อในเรื่องของพระเจ้า แต่เชื่อในเรื่องของการพัฒนาตัวตนให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของนิยามที่ว่านั้น นิยามเป็นภาวะทางธรรมชาติอย่างหนึ่งเหมือนภาวะทางธรรมชาติทั้งหลาย </div><div align="justify"><br />นิกายเซนก็มีทัศนะเกี่ยวกับจักรวาลเหมือนอย่างชาวพุทธทั่วไป จะต่างกันก็ตรงที่เวลาเซนกล่าวถึงสิ่งที่ควบคุมความเป็นระเบียบของจักรวาลเซนชอบใช้คำว่า “ตถตา” แทนคำว่านิยาม ความเข้าใจเรื่องตถตานี้เซนถือว่าสำคัญมาก หากเราเข้าใจเรื่องตถตาเท่ากับเราเข้าใจเนื้อแท้ของจักรวาลทั้งหมด ตถตาจะบอกเราว่า สรรพสิ่งล้วนเกี่ยวเนื่องอาศัยเป็นปัจจัยแก่กันและกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อมมีสาเหตุ โลกมีกฎเกณฑ์ของมันเอง กฎเกณฑ์ที่ว่านี้ไม่ขึ้นอยู่กับความชอบหรือไม่ชอบของเรา เมื่อมีปัจจัยอันจะก่อให้เกิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพียงพอ สิ่งนั้นย่อมเกิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าเราจะต้องการให้มันเกิดหรือไม่ก็ตาม ผู้ไม่เข้าใจตถตาย่อมเดือนร้อน กังวล หรือเป็นทุกข์ เมื่อประสบกับสิ่งที่ตนไม่ต้องการ ในอีกทางหนึ่งย่อมพอใจ อิ่มใจ หรือเป็นสุข เมื่อประสบกับสิ่งที่ตนต้องการให้เกิด แต่สำหรับผู้ที่เข้าใจในตถตา โลกธรรมเหล่านี้เขาย่อมพิจารณาเห็นว่าล้วนแล้วแต่มีเหตุปัจจัยทั้งสิ้น เมื่อสรรพสิ่งมีเหตุปัจจัย มนุษย์ย่อมไม่มีสิทธิ์ ยินดียินร้ายหรือโกรธแค้นต่อการเกิดขึ้นหรือไม่เกินขึ้นของสิ่งเหล่านี้ อุปมาเหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่ว่า เมื่อเอาธาตุ A ผสมกับธาตุ B แล้วได้สาร C เขาย่อมไม่มีสิทธิ์ยินดีว่านั่นเป็นผลงานของเขา เพราะการเกิดของ C เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของโลก ไม่เกี่ยวกับตัวเขาเอง สุขทุกข์ในชีวิตมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ล้วนแต่ดำเนินไปอย่างมีกฎมีระเบียบ เมื่อเราทำสิ่งอันจะเป็นสาเหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ก็ต้องเกิด เมื่อเราทำสิ่งอันจะเป็นสาเหตุให้เกิดสุข สุขก็ต้องเกิด นี่คือ กฎเกณฑ์ของโลก นี่คือ กฎเกณฑ์ของจักรวาล</span></div><span style="font-family:arial;"><div align="center"><br /><strong>พุทธะคือจิตของท่าน...<br />หนทางสู่ความรู้แจ้งไม่ได้ทอดไปที่ไหน...<br />อย่าสนใจสิ่งอื่นนอกจากจิตนี้...<br />ถ้าท่านขับเกวียนมุ่งขึ้นทางเหนือ...<br />ในขณะที่ตนเองต้องการลงใต้แล้ว ท่านจะถึงที่หมายได้อย่างไร...</strong></div><div align="justify"><br />บทกวีข้างต้นนี้เป็นของเรียวกัน <em><span style="font-size:85%;">(Ryokan, ๑๗๕๘ - ๑๘๓๑ A.D.)</span></em> พระเซนชาวญี่ปุ่นสมัยโตกุงาวะ บทกวีข้างต้นนี้สะท้อนให้เห็นความเข้าใจในธรรมชาติของจักรวาลของท่านผู้แต่งได้เป็นอย่างดี ในทัศนะของเรียวกัน สรรพสิ่งย่อมดำเนินไปอย่างมีเหตุปัจจัย การปฏิบัติธรรมก็เป็นกิจกรรมอันหนึ่งที่เราจะต้องคำนึงกฎแห่งความเป็นเหตุเป็นผลของมัน เมื่อปัจจัยแห่งความรู้แจ้งพร้อมมูล การรู้แจ้งก็เกิดขึ้น การปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่การคร่ำเคราเอาจริงเอาจังอย่างไม่ทราบว่าสิ่งที่ตนกำลังทำอย่างนั้นจะเอื้ออำนวยให้เกิดผลหรือไม่ กล่าวคือ การรู้แจ้งหรือไม่ หากแต่การทำความเข้าใจในตถตาจนรู้ว่านี่คือเหตุปัจจัยแห่งความรู้แจ้ง จากนั้นก็ลงมือบำเพ็ญปฏิรูปอันจะนำไปสู่ความรู้แจ้งดังกล่าว เมื่อเหตุปัจจัยเกิดมีจนอยู่ในระดับเพียงพอจะยังผลให้เกิด กล่าวคือ ความรู้แจ้งก็เกิด เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ </div><div align="justify"><br />คนเราคือ อณูหนึ่งในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ภายในจักรวาลนี้มีสิ่งที่เรายังไม่รู้มากมายนับอนันต์ ความรู้มนุษย์ที่มีอยู่เวลานี้ เป็นเพียงความรู้ที่มีอาณาบริเวณอย่างมากก็แค่เพียง ภายในระบบสุริยะจักรวาลของเราเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไป ภายในห้วงอวกาศอันลึกลับซับซ้อน เราไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะมีสิ่งอันใดอยู่เกินเลยสติปัญญาของเราที่จะเข้าใจได้หรือไม่ จะอย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ถือว่าไม่อยู่เกินเลยวิสัยที่เราจะเข้าใจได้ก็คือ ตัวเราเอง มนุษย์ต่างจากเศษหินเศษดินก็ตรงที่รู้จักตัวเอง รู้จักตั้งคำถามเกี่ยวกับสถานะของตนเอง การทำความเข้าใจจักรวาลทั้งหมดจะไม่สมบูรณ์เด็ดขาด หากเราลืมที่จะผนวกตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลและธรรมชาติด้วยแล้ว มนุษย์จึงมีความเป็นประติสัมพันธ์กันกับธรรมชาติและจักรวาล ซึ่งมีอยู่สามมิติความสัมพันธ์ของมนุษย์ ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ ...</span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-56119435952093584172007-08-07T02:41:00.000-07:002007-08-07T08:24:10.982-07:00มิติความสัมพันธ์ของมนุษย์<div align="justify"><span style="font-family:arial;"><strong>ความเป็นมนุษย์มีรูปแบบของความสัมพันธ์อยู่ ๓ มิติ คือ</strong> </span></div><div align="justify"><span style="font-family:arial;"><br />- ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน<br />- ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม<br />- ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ</span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />ทั้ง 3 มิติร้อยรัดกันเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน เรียกว่า “วัฒนธรรม” คนตะวันตกกับตะวันออกมองรูปแบบความสัมพันธ์ดังกล่าวต่างกัน ขณะที่คนตะวันตกไม่ให้ความสนใจกับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ แต่พยายามจะคุมทุกอย่างด้วยวิทยาศาสตร์ สังคมตะวันตกแยกจิตวิญญาณออกจากธรรมชาติ เพราะคิดว่าจะควบคุมจักรวาลด้วยวิทยาศาสตร์ ทำให้พัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขึ้นมา ขณะที่คนตะวันออกยอมรับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่รู้ไม่เข้าใจแต่เป็นสิ่งที่คนเหล่านี้เชื่อ และสร้างความเชื่อเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางในการอยู่ร่วมกัน </div><div align="justify"><br />จากความเชื่อได้พัฒนากลายเป็นศาสนาต่างๆ ที่มองจักรวาลเป็นระบบความเชื่อ เพราะฉะนั้นคนตะวันออกจึงมีครบทั้ง 3 มิติ โดยเฉพาะมิติสุดท้าย คือ สิ่งนอกเหนือธรรมชาตินั้นเป็นความสัมพันธ์ที่ควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคมตะวันออก ซึ่งคนทางตะวันตกส่วนใหญ่ไม่มี ขณะที่สังคมไทยในปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมตะวันตก ซึ่งเกิดจากการเดินตามตะวันตกทุกอย่าง ทำให้มิติของความสัมพันธ์กับสิ่งนอกเหนือธรรมชาติขาดหายไป ความเชื่อที่เหลืออยู่ก็ไม่ใช่ความเชื่อทางศาสนาแต่เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ เวลานี้เราไม่ได้มองมิติทางจิตวิญญาณ เรามองศาสนาในลักษณะหยุดนิ่ง การศึกษาศาสนาคือการศึกษาเพียงแต่ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรบ้าง </div><div align="justify"><br />ขณะที่เราพูดกันถึงความหลากหลายทางชีวภาพ และเราต้องไม่ลืมความหลากหลายของวัฒนธรรมด้วย “ศาสนา” คือ สถาบันสากลของความมีศีลธรรม เป็นสิ่งที่สร้างชุมชนแบบมนุษย์ขึ้นมา ที่ผ่านมาเราอยู่กันมาเป็นพันๆ ปีได้อย่างมีความสุข มาพังเมื่อรับเอาความคิดแบบตะวันตกเข้ามา เกิดศาสนาใหม่ขึ้นมาคือ ศาสนาบริโภคนิยม ศาสนาทุนนิยม (ดังที่กล่าวไว้ในบทก่อนแล้ว) ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้เราหยุดไม่ได้ ถ้ายังไม่หยุด ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นต่อไป เช่นเมื่อเราสัมผัสกับธรรมชาติ ถ้าเรารู้ว่าธรรมชาติมันเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันเราก็ได้ประโยชน์ตรงนี้มาก เราเงยหน้าเห็นดวงดาว ความเห็นแก่ตัวตรงนี้เราก็ลดลง เพราะเรารู้ว่าทั้งหมดมันมีความเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งจักรวาล เราไม่ได้เป็นศูนย์กลางที่จะแยกส่วนออกมา เห็นดวงดาวความเห็นแก่ตัวก็ลดลง เห็นพระจันทร์ความเห็นแก่ตัวก็ลดลง เห็นทะเลความเห็นแก่ตัวก็ลดลง เห็นภูเขาความเห็นแก่ตัวก็ลดลง เราสามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์เพื่อลดความเห็นแก่ตัวของเราได้ตลอดเวลา ทำให้เราเป็นอิสระขึ้น มีความสงบ มีความสุข มีความรักเพื่อมนุษย์ รักธรรมชาติทั้งหมด ตรงนี้ที่หมายถึงเข้าถึงความเป็นทั้งหมดและถ้าเราเข้าใจตรงนี้เราก็จะได้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างเหลือหลาย จะประสบความสุข และความงาม และจะเกิดความรู้สึกอยากให้เพื่อนมนุษย์คนอื่นได้เจออย่างนี้เช่นกัน เพราะเป็นความสุข เป็นความงาม และมีการเรียนรู้ ซึ่งหมายถึงการเข้าถึงความจริงทั้งหมด </div><div align="justify"><br />เกี่ยวกับความจริงทั้งหมดนั้น ถ้าเป็นสิ่งที่ใหญ่ที่สุดทางวิทยาศาสตร์ ก็คือความเป็นบิ๊กแบง (Big Bang) ที่คาดกันว่าเกิดขึ้นเมื่อ ๑๕,๐๐๐ ล้านปีนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างในปัจจุบัน แต่ว่าในทางพุทธนั้นมีสิ่งที่ดำรงอยู่ก่อนบิ๊กแบงเสียอีก ถ้าทางวิทยาศาสตร์จะบอกว่าอวกาศและเวลาเริ่มเมื่อเกิดมีบิ๊กแบง เพราะฉะนั้นจักรวาลทั้งจักรวาล ดวงดาวทั้งหมดและวัตถุต่างๆเริ่มเมื่อเกิดมีบิ๊กแบงเกิดขึ้น แต่ในทางพุทธบอกว่ามันมีสิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว สิ่งที่ไม่ปรุงแต่งมีอยู่ก่อนบิ๊กแบง ซึ่งเป็นธรรมชาติที่มีอยู่แล้วเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เป็นจุดตั้งต้นไม่มีจุดสิ้นสุด ไม่ปรุงแต่งในนั้น แล้วสิ่งอื่นที่เกิดขึ้นตั้งแต่มีบิ๊กแบง ถือเป็นการปรุงแต่งทั้งสิ้น คือปรุงแต่งขึ้น สังขารแปลว่าปรุงแต่งขึ้นเป็นจักรวาล เป็นดวงอาทิตย์เป็นดวงดาว เป็นต้นไม้ คน สัตว์ อันนี้เป็นสังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมา ถ้าใครเข้าใจก็จะระงับการปรุงแต่งได้ และถ้าระงับการปรุงแต่งเสียได้ก็จะเข้าไปสู่ความสงบและเป็นสุขอย่างยิ่ง </div><div align="justify"><br />พระไพศาล วิสาโล เคยกล่าวไว้ว่า ความทุกข์พื้นฐานของคนในยุคบริโภคนิยมสืบเนื่องจากการปฏิเสธมิติที่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์ทางจิตวิญญาณ อันเป็นผลจากโลกทัศน์แบบวัตถุนิยมที่เห็นธรรมชาติมีเพียงมิติเดียว คือ “มิติทางวัตถุ” อันประจักษ์ได้ด้วยประสาททั้งห้าเท่านั้น โลกทัศน์ดังกล่าวให้ผู้คนปฏิเสธหรือไม่ยอมรับความต้องการมิติทางจิตวิญญาณ อันได้แก่ความต้องการมีตัวตนที่เที่ยงแท้มั่นคงและความสงบ เมื่อไม่ยอมรับว่ามีความต้องการดังกล่าวอยู่ในส่วนลึก จึงไม่สนใจที่จะตอบสนอง หรือตอบสนองไม่ตรงจุดเพราะไปอาศัยวัตถุเป็นทางแก้เนื่องจากเข้าใจว่า ต้นตอของปัญหาอยู่ที่เรื่องวัตถุ </div><div align="justify"><br />ศาสนานั้นเห็นว่า มนุษย์นั้นมีหลายมิติข้างต้นที่หลอมรวมกันเป็น วัฒนธรรม ซึ้งเราควรได้รับความเอาใจใส่ไม่น้อยไปกว่ามิติทางวัตถุ การรื้อฟื้นมิติทางจิตวิญญาณให้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ พร้อมกับวิธีการตอบสนองความต้องการทางจิตวิญญาณอันได้แก่ “สมาธิภาวนา” ซึ่งเป็นหนทางที่จะช่วยให้มนุษย์เรานั้นบำบัดทุกข์ได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามควรย้ำว่า มิติทางจิตวิญญาณทางศาสนานั้น สิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากที่สุดก็ คือ ความรู้ความเข้าใจที่ช่วยให้แต่ละคนสามารถเห็นสาเหตุต่างๆ และหนทางดับทุกข์ด้วยตนเอง เพื่อให้บรรลุถึงอิสรภาพในทาง “จิต และ ปัญญา” อันเป็นจุดหมายสูงสุดของมนุษย์ทั้งหลายจนถึงบิ๊กแบงภายในใจ... </div><div align="justify"><br />มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลก คือ สามารถเป็นทั้งศูนย์กลางของจักรวาล และเป็นทั้งส่วนหนึ่งของจักรวาลได้ กล่าวคือ ในฐานะศูนย์กลางของจักรวาล มนุษย์สามารถปรับสิ่งต่างๆที่อยู่รอบกายให้เข้ากับตัวเขาเองได้ (ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน) และเช่นกัน มนุษย์เราในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล มนุษย์จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากันกฎเกณฑ์ต่างๆในจักรวาลและธรรมชาติ และนี่คือ ความอ่อนแอ และยิ่งใหญ่ ภายในของความเป็นธรรมชาติของตัวมนุษย์เอง อยู่ที่เราจะเลือกปฏิบัติแบบไหน เป็นศูนย์กลางหรือจะเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลธรรมชาติ “บิ๊กแบงภายใจจึงเกิด” เมื่อเราเข้าใจดังนี้ ...</span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-35038070873880274532007-08-07T02:38:00.000-07:002007-08-07T08:10:13.676-07:00บิ๊กแบงภายในที่มี อิสรภาพทางใจจึงเกิด<div align="justify"><span style="font-family:arial;">มนุษย์ไม่ได้เกิดมาในโลกแต่เพียงลำพัง นอกจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเรายังมีเพื่อนร่วมโลกจำนวนมากมายมหาศาล ไกลออกไปยังห้วงจักรวาลเรายังอาจมีเพื่อนที่ยังไม่รู้จักกันอีกจำนวนไม่ได้ มนุษย์ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล หากแต่มนุษย์ยังกำลังอยู่ท่ามกลางสิ่งไร้ชีวิตจำนวนมหึมาไม่ว่าจะเป็นดวงดาว ฝุ่นธุลี หรือวัตถุหลากหลายประเภท พุทธศาสนาตระหนักถึงความเป็นจริงอันนี้ จึงได้วางแนวทางเอาไว้สำหรับให้มนุษย์นำไปปฏิบัติทั้งนี้ก็เพื่อช่วยให้มนุษย์ปรับตัวให้กลมกลืนกับความเป็นไปของจักรวาล มนุษย์นั้นมองได้หลายแง่ มนุษย์อาจมีความสามารถที่จะกำหนดความเป็นไปหลายอย่างในชีวิตตนเอง แต่กระนั้นสิ่งหนึ่งที่เป็นแง่จริงของความเป็นมนุษย์ที่คงไม่มีใครปฏิเสธก็ คือ ในบางสถานการณ์มนุษย์ไม่ได้เป็นอิสระเด็ดขาดจากจักรวาล เราอาศัยอยู่บนดวงดาวเล็กๆดาวหนึ่งที่เรียกว่าโลก โลกใบนี้ก็ไม่ได้เป็นอิสระเลย มันต้องหมุนไปตามทิศทางที่ถูกกำหนดโดยดวงดาวดวงอื่นๆ ในระบบสุริยะ ระบบสุริยะเองก็หาได้เป็นอิสระไม่ มันยังต้องหมุนเหวี่ยงตัวมันเองไปตามทิศทางที่ถูกกำหนดโดยกลุ่มดาวกลุ่มอื่นๆ ภายในกาแล็กซีนี้ และกาแล็กซีที่เราอยู่นี้ก็ได้เป็นอิสระไม่มันยังต้องเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางที่ถูกกำหนดโดยกาแล็กซีอื่นๆ สรรพสิ่งในจักรวาลต่างอิงอาศัยและสัมพันธ์เนื่องถึงกัน </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />ในเรื่องของวิทยาศาสตร์ โดยทั่วไปอาจจะถือได้ว่าโลกเป็นระบบ (System) ที่อยู่นิ่งระบบหนึ่ง เราอาจจะเลือกกำหนดว่าต้นไม้และบ้านอยู่นิ่ง สัตว์ รถยนต์ และเครื่องบินนั้นเคลื่อนที่ สำหรับนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ โลกไม่ได้อยู่นิ่งเลย แต่กำลังเคลื่อนที่ไปในอากาศในลักษณะอันแสนซับซ้อน คือ นอกจากจะหมุนรอบตัวเองวันละ ๑ รอบ ด้วยความเร็วถึง ๑,๐๐๐ ไมล์ต่อชั่วโมง ยังโคจรรอบดวงอาทิตย์ ด้วยความเร็ว ๒๐ ไมล์ต่อวินาที และยังเคลื่อนที่ในลักษณะอื่นที่เราไม่คุ้นอีกหลายอย่าง ดวงจันทร์ก็มิได้โคจรรอบโลกดังที่เข้าใจกันทั่วๆ ไป แต่ทั้งโลกและดวงจันทร์ต่างโคจรรอบกันและกัน หรือพูดให้ถูกก็คือ ทั้งโลกและดวงจันทร์ต่างโคจรรอบจุดศูนย์ถ่วงอันเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นระบบสุริยะทั้งหมดกำลังเคลื่อนที่อยู่ภายในกลุ่มดาวกลุ่มดาวกลุ่มหนึ่งด้วยความเร็ว ๑๓ ไมล์ต่อวินาที กลุ่มดาวกลุ่มนี้กำลังเคลื่อนที่อยู่ภายในกาแล็กซีด้วยความเร็ว ๒๐๐ ไมล์ต่อวินาที และกาแล็กซีทั้งกาแล็กซีก็เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ๑๐๐ ไมล์ต่อวินาทีเมื่อเทียบกับกาแล็กซีอื่นที่อยู่ไกลออกไป การเคลื่อนที่ทั้งหมดที่กล่าวแล้วนี้เป็นไปคนละทิศละทาง </div><div align="justify"><br />จะว่าไปแล้วจำเพาะโลกที่เราอยู่นี้ มนุษย์เพิ่งครอบครองเป็นเจ้าของเมื่อไม่กี่หมื่นปีมานี้เอง ระยะเวลาตามที่กล่าวมานี้นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับอายุอันยาวนานของโลก ในอดีตนั้นโลกใบนี้เคยมีสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆเป็นผู้ครอบครองเป็นเจ้าของมาไม่รู้กี่รุ่น ผู้ครอบครองต่างกันมาแล้วก็ไป ไม่มีใครอาจยืนยงอยู่คู่โลก ปัจจุบันมนุษย์คือผู้ครอบครองโลก ด้วยความรู้สึกว่าตนเองคือผู้ครอบครองนี่เอง ที่บางครั้งอาจทำให้เราลืมไปว่าแท้ที่จริงนั้น มนุษย์ไม่มีสิทธิ์อ้างว่าโลกนี้เป็นของตนเพียงผู้เดียว ความคิดที่ว่าเราคือเจ้าของอาณาบริเวณทั้งหมดในโลกเป็นเพียงการทึกทักที่ไม่มีความชอบธรรมใดๆ รองรับทั้งสิ้น พืช สัตว์ ตลอดจนชีวิตที่เรายังไม่รู้จักจำนวนมหาศาลในโลกนี้มีอะไรต่างจากคน สิ่งเหล่านี้อาจต่างจากเราในแง่ที่ยังมีระดับของพัฒนาการต่ำกว่าเรา แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งสำหรับใช้อ้างว่ามนุษย์สามารถเอาเปรียบพวกเขาได้ คนแข็งแรงไม่มีสิทธิ์เอาเปรียบคนอ่อนแอฉันใด คนฉลาดไม่มีสิทธิ์เอาเปรียบคนไม่ฉลาดฉันใด มนุษย์ก็ไม่มีสิทธิ์เอาเปรียบเพื่อนร่วมโลกเหล่านั้นฉันนั้น </div><div align="justify"><br />ความเป็นอิสระจึงมีความหมายไปได้สองแง่อยู่เสมอ หนึ่งเราพยามเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นอิสระ สองเพื่อให้ได้มาซึ่งจุดเหนือโลก แต่ปัญหามีอยู่ว่า จุดเหนือโลกเป็นจุดที่ทำให้มนุษย์อิสรเสรีเต็มที่เปรียบประหนึ่งเป็นพระเจ้าเอง หรือว่าเป็นจุดภายนอกที่มนุษย์เสรีพอที่จะเผชิญหน้ากับพระเจ้า และตระหนักในขณะนั้นถึงความไม่อิสรเสรีอย่างสมบูรณ์ของตน ว่าอย่างน้อยก็ยังต้องยึดมั่นในพระเจ้า ความเป็นอิสระที่ไม่มีข้อผูกพันและที่ไม่มีความรับผิดชอบอาจจะปรากฏในรูปของความไม่แยแส ความไม่ใช่ธุระของตนต่อโลกและเพื่อนมนุษย์ ความเพิกเฉยต่อความตาย วันหนึ่งความตายจะต้องมาถึง ทำไมจะต้องตื่นเต้น ความรักนั้นเป็นไปได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับเวลา ขึ้นอยู่กับความแน่นอน และจะต้องผ่านพ้นเปลี่ยนแปลงไป ชีวิตดำรงอยู่อย่างไม่มีอารมณ์ไม่มีประสงค์ที่จะเป็นหรือทำอะไรเป็นพิเศษ ทำไปเท่าที่ได้รับการร้องเรียนหรือเท่าที่ควรจะทำ ชีวิตที่ไม่มีขอบฟ้า ไม่มีความไกล ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีอะไรหวังอีกต่อไปดำรงอยู่เพียงที่นี่และขณะนี้ </div><div align="justify"><br />ทัศนะในการมองโลกตามที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์พุทธศาสนานิกายเซน ของท่าน รองศาสตราจารย์ ดร. สมภาร พรมทา และยังกล่าวอีกว่า ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่บางศาสนาให้ความสำคัญมาก ซึ่งถือว่ามนุษย์เราเป็นเพียงผู้อาศัยโลกเหมือนกับพืชและสัตว์ต่างๆ ดังนั้นในการดำรงชีวิต เราจำต้องตระหนักถึงความชอบธรรมและสิทธิที่พืชและสัตว์ต่างๆ ดังนั้นในการดำรงชีวิต เราจำต้องตราหนักถึงความชอบธรรมและสิทธิที่พืชและสัตว์อื่นสามารถอ้างได้ในการดำรงชีพของมัน สิทธิที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เป็นสิทธิที่ทุกชีวิตมีอยู่เท่าเทียมกัน เราจะเข้าใจทัศนะในการมองโลกอย่างที่ว่านี้ดีขึ้น หากจะลองพิจารณาดูตัวอย่างบทกวีตัวอย่างต่อไปนี้</span></div><span style="font-family:arial;"><div align="center"><br /><strong><span style="color:#336666;">ดอกไม้ ณ ซอกกำแพง…<br />ฉันถอนเจ้าขึ้นมาจากซอกำแพง…<br />ถือเจ้าเอาไว้ในมือ…<br />ดอกไม้น้อยๆ เอย ถ้าฉันสามารถเข้าใจ…<br />ว่าเจ้าคืออะไร…<br />ฉันคงเข้าใจว่าพระเจ้าและมนุษย์คืออะไร…</span></strong></div><div align="justify"><br />บทกวีข้างต้นนี้เป็นของเทนนิสัน กวีชาวอังกฤษ เนื้อหาของบทกวีบรรยายภาพความนึกคิดของผู้เขียนที่มีต่อดอกไม้ที่เขาพบที่ซอกกำแพงแห่งหนึ่ง โปรดสังเกตว่า เมื่อแทนนิสันพบดอกไม้ เขาได้ถอนมันขึ้นมาทั้งต้น เพื่อพินิจดูความเร้นลับอันแฝงอยู่ในต้นไม้นั้น เมื่ออ่านบทกวีบทนี้ เราอาจเข้าใจความนึกคิดที่ละเอียดลึกซึ่งของท่านผู้แต่งที่เพียงแต่มองเห็นต้นไม้ไร้ค่าต้นหนึ่งที่ซอกกำแพง ก็สามารถมองเห็นความเร้นลับของจักรวาลทั้งจักรวาล ต้นไม้ที่เทนนีสันเห็นอาจมีคนหลายคนเคยเห็นมันมาก่อน แต่ทุกคนอาจมองไม่เห็นบางสิ่งที่เทนนีสันเห็นโดยผ่านทางต้นไม้นั้น นี่คือความละเอียดอ่อนในการมองสิ่งต่างๆ ของกวี เทนนีสันอาจประสบความสำเร็จในการบรรยายความนึกคิดของตนเองในบทกวีนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนว่าเขาจะมองข้ามไปก็คือต้นไม้เล็กๆ ต้นนั้นที่เขาถอนมันขึ้นมา ต้นไม้นั้นมีชีวิต และชีวิตของมันก็จบสิ้นลงพร้อมกับมือเทนนีสันที่ดึงมันขึ้นจากซอกกำแพง หากเทนนีสันไม่คิดว่ามนุษย์คือผู้ครอบครองโลกที่สามารถถอนต้นไม้ที่เกิดขึ้นในอาณาบริเวณที่เขาเป็นเจ้าของ เขาก็คงจะเพียงแต่พินิจดูต้นไม้นั้นโดยไม่เข้าไปแตะต้องล่วงล้ำสิทธิส่วนตัวของต้นไม้นั้น เทนนีสันมีสิทธิ์จะเพ่งพินิจความเร้นลับอันแฝงอยู่ในต้นไม้นั้น แต่เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะดึงต้นไม้นั้นออกมาจากซอยกำแพง เรื่องนี้บางทีเราอาจเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ในชีวิตประจำวันเรา ก็ทำอย่างที่เทนนีสันทำ เราชอบดอกไม้แล้วเราก็เด็ดดอกไม้นั้นมาปักแจกกัน นี่เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่เรื่องเล็กน้อยปกติธรรมดาอย่างนี้บางศาสนากลับสอนให้เห็นเป็นเรื่องใหญ่ คนเราไม่ค่อยรู้สึกว่าตนเองผิดที่ถอนต้นหญ้าหรือฆ่าแมลงตัวเล็กๆตาย แต่สำหรับศาสนาเซนสิ่งเหล่านี้ต่างก็มีชีวิต เราไม่อาจสรุปได้ว่าชีวิตของเราสำคัญกว่าชีวิตเล็กน้อยเหล่านี้ หรืออาจจะกล่าวได้อีกว่า “มนุษย์มีสิทธิ์จะชมความงามของธรรมชาติ แต่มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำลายธรรมชาติ” บางท่านที่อ่านเรื่องราวทำนองนี้แล้วอาจมีความสงสัยว่า ชีวิตของคนเรานั้นบางครั้งก็ไม่อาจทำในสิ่งที่เป็นอุดมคติได้เสมอไป มนุษย์จำเป็นต้องทำสิ่งที่ถูกกำหนดให้ทำโดยธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อความอยู่รอดแห่งเผ่าพันธุ์ของมนุษย์เอง โดยที่การกระทำเหล่านี้ไม่มีทางที่จะไม่ให้กระทบถึงชีวิตอื่นในโลกนี้ ยกตัวอย่างเช่นเราต้องกินอาหารอาหารที่คนเรากินมาจากไหน จากพืชและสัตว์ หากมนุษย์ยังไม่อยากตาย มนุษย์จำเป็นที่จะต้องเบียดเบียนชีวิตของสิ่งเหล่านี้ ในความนึกคิดเราอาจวาดภาพการไม่เบียดเบียนเพื่อนร่วมโลกได้ แต่ในความเป็นจริงไม่มีทางที่จะหนีพ้นจากการเบียดเบียนพวกเขาเลย เพราะธรรมชาติของเราถูกสร้างมาเพื่อเบียดเบียนชีวิตอื่นอยู่แล้ว </div><div align="justify"><br />ความสงสัยข้างต้นนี้ที่จริงเป็นความสงสัยที่ค่อนข้างมีคนคิดกันมากในวงการปรัชญาสาขา จริยศาสตร์ ประเด็นของความสงสัยอาจสรุปสาระสำคัญได้ว่าเวลาที่เราบอกว่าคนเราควรทำเช่นนั้นเช่นนี้ การบอกนั้นมีนัยแฝงอยู่แล้วว่า สิ่งที่เราบอกว่าคนควรทำเป็นสิ่งที่คนสามารถทำได้ เช่น เราบอกว่าคนควรเสียสละ การกล่าวเช่นนี้แฝงความเชื่ออย่างหนึ่งเอาไว้ คือ ความเชื่อถือที่ว่าคนเราสามารถเสียสละได้ถ้าเขาต้องการทำ หากเราเชื่อว่ามนุษย์มีธรรมชาติอย่างหนึ่ง คือ เสียสละไม่ได้ เราก็คงไม่บอกว่าคนเราควรเสียสละ เพราะบอกไปแล้วจะมีความหมายอะไร สรุปความว่าเวลาที่เราต้องการมาตรฐานทางศีลธรรมบางอย่าง สำหรับชี้บอกว่านี่คือความดี นี่คือสิ่งที่มนุษย์ควรทำ สิ่งแรกที่สุดที่เราจะต้องคำนึงถึงก็คือ สิ่งที่เรากำลังชี้ชวนให้คนทำนั้นขัดกับธรรมชาติของคนหรือไม่ หากขัดกับธรรมชาติ การชี้ชวนนั้นย่อมไร้ความหมาย เพราะย่อมไม่มีใครสามารถทำตามได้ ขอให้นึกถึงภาพคนหนึ่งที่พยายามชี้ชวนคนทั้งโลกว่าควรทำสิ่งหนึ่ง แต่สิ่งที่เขากำลังชี้ชวนนั้น ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำได้ เราคงไม่อยากเรียกสิ่งที่เขาพยายามชี้ชวนนั้นว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ ความเคลือบแคลงตามที่กล่าวมานี้ การศึกษาเชิงวิเคราะห์พุทธศาสนานิกายเซน ของ รองศาสตราจารย์ ดร. สมภาร พรมทา ยังกล่าวไว้ในการศึกษาอีกว่า หากให้ศาสนาบางศาสนาตอบ อย่างนิกายเซน เซนก็คงจะตอบว่าเวลาที่เรากล่าวถึงความเคารพในสิทธิของชีวิตอื่นที่อยู่ร่วมโลกกับเรา เราต้องแยกประเด็นการพิจารณาออกเป็นสองประเด็น กล่าวคือ </div><div align="justify"><br />๑.ในสถานการณ์นั้นเราสามารถเลือกที่จะไม่เบียดเบียนพวกเขาได้ หรือไม่ในกรณีที่เราสามารถเลือกได้เราย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวก่ายแทรกแซงชีวิตเหล่านั้น กรณีของเทนนีสันเองก็อยู่ในสถานการณ์ที่สามารถเลือกที่จะไม่ทำอันตรายแก่ต้นไม้ที่ซอกกำแพงได้ แต่เขาก็ยังทำลายมัน! การที่เซนเสนอความคิดเรื่องการเคารพสิทธิในชีวิตของสิ่งต่างๆ เซนเสนอในกรณีที่เราสามารถเลือกได้ว่าจะละเมิดชีวิตของสิ่งนั้นๆหรือไม่ โดยที่ทางเลือกทั้งสองนี้ไม่มีผลกระทบอันใดต่อการดำรงชีพของมนุษย์ กล่าวคือหากเราเลือกที่จะละเมิด การละเมิดนั้นก็ไม่ใช่สิ่งสนับสนุนการดำรงชีพของมนุษย์ (เช่น กรณีที่เทนนีสันถอนต้นไม้ การที่เขาถอนต้นไม้ต้นนั้นไม่ทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นหรือสะดวกสบายขึ้น) หรือหากเราเลือกที่จะไม่ละเมิด การไม่ละเมิดนั้นก็ไม่ใช่สิ่งตัดรอนการดำรงชีพของเรา (เช่น หากเทนนีสันเลือกที่จะไม่ถอนต้นไม้นั้น ชีวิตเขาก็ยังเป็นปกติ การถอนต้นไม้ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีพของเขาเลย) </div><div align="justify"><br />๒.แต่ในบางสถานการณ์เราไม่สามารถเลือกได้ เรามีทางเลือกอยู่เพียงทางเดียวเท่านั้น คือ ต้องละเมิดชีวิตสิ่งอื่นเพื่อความอยู่รอดของเราเอง ในสถานการณ์เช่นนี้เซนไม่ได้ขอร้องหรือชี้ชวนให้เราทำสิ่งที่ขัดกับธรรมชาติของเราเลย พระในนิกายเซนก็ยังต้องฉันอาหาร อาหารที่ฉันแม้จะเป็นพืชผัก แต่พืชผักนั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิต ตราบใดที่คนเรายังต้องกินอาหาร ตราบนั้นพระเซนก็ยังจะต้องละเมิดสิทธิในชีวิตของพืชผักอยู่ตลอดไป </div><div align="justify"><br />จากที่กล่าวมานี้เองการศึกษาเชิงวิเคราะห์พุทธศาสนานิกายเซน สรุปได้ว่า เวลาที่เราพิจารณาถึงทัศนะในการดำเนินชีวิตที่เน้นเรื่องการเคารพในสิทธิชีวิตของสิ่งต่างๆ เราต้องเข้าใจว่าเราเคารพสิทธิในชีวิตของสิ่งต่างๆ ในกรณีที่เราสามารถเลือกได้เท่านั้น กล่าวให้ง่ายก็คือ ก่อนที่เราจะทำอะไรลงไปอันเป็นการลิดรอนชีวิตของสิ่งอื่น ให้เราลองตั้งคำถามว่าเราจำเป็นต้องทำอย่างนั้นหรือไม่ หากจำเป็นก็ไม่เป็นไร เพราะธรรมชาติสร้างชีวิตของเราให้จำต้องทำอย่างนั้น แต่ถ้าไม่จำเป็นเราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะลิดรอนชีวิตของเขา มนุษย์เราทุกวันนี้ต่างก็มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำลายชีวิตสิ่งอื่น ขอให้เราลองตั้งคำถามกันดูว่า ในกรณีที่เราละเมิดชีวิตเพื่อนร่วมโลกของเราเองนั้น มีสักกี่กรณีที่เป็นความจำเป็นจริงๆ และมีกี่กรณีที่เราละเมิดทั้งที่ไม่มีความจำเป็นใดๆ ทั้งสิ้น การล่าสัตว์เพื่อความสนุกสนานซึ่งเรียกเสียหรูหราว่าเกมกีฬา การทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้สัตว์เป็นเครื่องมือในการทดลองซึ่งยังผลให้สัตว์เหล่านั้นล้มตาย หรือไม่ก็พิกลพิการอย่างน่าเวทนา ตลอดจนการกักขังสัตว์ไว้ในสวนสัตว์ที่ทำให้สัตว์เหล่านั้นจำต้องทนอยู่ภายในอาณาบริเวณที่จำกัดเพียงความบันเทิงของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้เราต้องถามตัวเองดูว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่สำหรับการดำรงชีพของมนุษย์ เรามีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ ที่จะเลือกทำหรือไม่ทำก็ได้ เคยมีคนกล่าวไว้ว่า<br />“ คนธรรมดาคือ พุทธะ กิเลสคือการรู้แจ้ง ความคิดที่โง่เขลาในอดีตทำให้คนเป็นคนธรรมดา ความคิดที่สว่างโพลงในปัจจุบันทำให้คนเป็นพุทธะ ความคิดที่คอยใฝ่หาสิ่งสนองตอบความอยากทางอายตนะในอดีตคือกิเลส ส่วนความคิดที่เป็นอิสระจากความยึดติดปัจจุบันคือความรู้แจ้ง ” </div><div align="justify"><br />ข้อความนี้เป็นของท่านฮุยเน้ง เป็นข้อความที่ค่อนข้างจะชวนฉงนแก่ชาวพุทธเถรวาท ท่านฮุยเน้ง กล่าวว่าปุถุชนคนธรรมดาคือ พุทธะ กิเลสคือ โพธิ การกล่าวเช่นนี้ดูเหมือนการเล่นคำเพื่อผลในทางกระตุ้นความสนใจ แต่ที่จริงไม่ใช่ การกล่าวเช่นนี้เป็นการยืนยันจริง ในทัศนะของท่านฮุยเน้ง ปุถุชนกับพระอริยะไม่มีความแตกต่างกัน กิเลสกับความรู้แจ้งก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ทั้งพระอริยะและปุถุชนต่างก็มีพุทธภาวะเสมอเหมือนกันเมื่อมองอย่างนี้ เราย่อมไม่เห็นความแตกต่าง ส่วนกิเลสกับความรู้แจ้งก็เช่นกัน สองสิ่งนี้ปกติคนมักมองว่าตรงข้ามกัน แต่ท่านฮุยเน้ง มองว่าทั้งสองอย่างนี้เป็นธรรมชาติร่วมกันของคน คนเรานั้นมีธรรมชาติอย่างหนึ่งคือ ธรรมชาติที่จะยึดมั่นหรือปล่อยวางในสิ่งที่ตนประสบก็ได้ เมื่อใดที่คนเรายึดมั่น เมื่อนั้นเราอาจจะเรียกว่าเขามีกิเลส เมื่อใดที่เขาปล่อยวาง เมื่อนั้นเราอาจจะเรียกเขาว่ารู้แจ้ง กิเลสหรือการรู้แจ้งไม่ใช่สาระหรือธรรมชาติที่เที่ยงแท้ในตัวคน ในวันหนึ่งๆ เราอาจเกิดกิเลสหรือรู้แจ้งสลับเปลี่ยนกันไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ที่เป็นเช่นนี้สืบเนื่องมาจากธรรมชาติของเราที่ถูกสร้างมาเช่นนั้นคนคือสิ่งที่สามารถจะคิดในเชิงสร้างสรรค์ก็ได้หรือคิดในเชิงทำลายก็ได้ เราจึงมีอิสระที่จะกระทำลงไป </div><div align="justify"><br />ความเป็นอิสระจึงมีความหมายไปได้สองแง่อยู่เสมอ เราพยามเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นอิสระ เพื่อให้ได้มาซึ่งจุดเหนือนอกโลก แต่ปัญหามีอยู่ว่า จุดเหนือนอกโลกเป็นจุดที่ทำให้มนุษย์อิสระเสรีเต็มที่เปรียบประหนึ่งเป็นพระเจ้าเอง หรือว่าเป็นจุดภายนอกที่มนุษย์เสรีพอที่จะเผชิญหน้ากับพระเจ้า และตระหนักในขณะนั้นถึงความไม่อิสระเสรีอย่างสมบูรณ์ของตน ว่าอย่างน้อยก็ยังต้องยึดมั่นในพระเจ้า ความเป็นอิสระที่ไม่มีข้อผูกพันและที่ไม่มีความรับผิดชอบอาจจะปรากฏในรูปของความไม่แยแส ความไม่ใช่ธุระของตนต่อโลกและเพื่อนมนุษย์ ความเพิกเฉยต่อความตาย วันหนึ่งความตายจะต้องมาถึง ทำไมจะต้องตื่นเต้น ความรักนั้นเป็นไปได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับเวลา ขึ้นอยู่กับความแน่นอน และจะต้องผ่านพ้นเปลี่ยนแปลงไป ชีวิตดำรงอยู่อย่างไม่มีอารมณ์ ไม่มีประสงค์ที่จะเป็นหรือทำอะไรเป็นพิเศษ ทำไปเท่าที่ได้รับการร้องเรียนหรือเท่าที่ควรจะทำ ชีวิตที่ไม่มีขอบฟ้า ไม่มีความไกล ไม่มีอดีตไม่มีอนาคตไม่มีอะไรหวังอีกต่อไปดำรงอยู่เพียงที่นี่และขณะนี้ ความเป็นอิสระที่ทำให้หลงผิดและปรากฏในลักษณะต่างๆ ทำให้ความเป็นอิสระเองเป็นสิ่งที่น่าสงสัยแคลงใจเหตุฉะนี้ เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งความเป็นอิสระที่แท้จริงจึงไม่เพียงแต่จะต้องมองเห็นและเข้าใจถึงความหมายสองด้านของมันเท่านั้น แต่ยังต้องตระหนักในขอบเขตของความอิสระด้วย เพราะอิสระที่สมบูรณ์สูงสุดนั้นหามีไม่ แม้แต่ความคิดก็มิได้เกิดขึ้นในสูญญากาศ ต้องมีต้นเหตุหรือความคิดต่อเนื่อง ชีวิตตัวเราซึ่งเป็นผู้คิดก็ต้องพึ่งพาถือกำเนิดมาจากชีวิตอื่น ไม่มีอิสรภาพหรือเสรีภาพที่อยู่โดดเดียว ที่ไหนมีเสรีภาพที่นั่นย่อมีการต่อสู้กับความไม่มีเสรีภาพด้วย การศึกษาเชิงวิเคราะห์พุทธศาสนานิกายเซน ของ รองศาสตราจารย์ ดร. สมภาร พรรมทา ยังกล่าวต่ออีกว่า เหตุฉะนี้จึงมีขอบเขตจำกัดของเสรีภาพหรืออิสรภาพสามอย่างดังนี้ คือ </div><div align="justify"><br />ขอบเขตจำกัดประการที่หนึ่งของอิสรภาพก็คือ เราจะมีอิสรภาพที่แท้จริงได้ก็ต่อเมื่อเราพัวพันอยู่ในโลก ในขณะเดี่ยวกัน อิสรภาพมิอาจเกิดขึ้นได้เมื่อเราละทิ้งโลกนี้ไป เป็นอิสระอยู่ในโลกหมายถึงการมีทีท่าที่เหมาะสมต่อโลก “อยู่กับโลกและขณะเดียวกันก็ไม่อยู่กับโลก” / “อยู่ในโลกและขณะเดียวกันก็อยู่นอกโลก” ปราชญ์อินเดียเคยกล่าวไว้ในภควัทตีว่า “จงทำงานแต่อย่าไขว่คว้าหาผลของงาน” เล่าสือ ปราชญ์จีนก็กล่าวทำนองเดียวกันว่า “จงทำด้วยการไม่ทำ” ประโยคที่กินความหมายลึกซึ้งกว้างขวางทางปรัชญาดังกล่าวจะมีความหมายอย่างไร แค่ไหน และเพียงไรนั้น แถลงกันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นการเพียงพอสำหรับเราที่ทราบว่ามีปราชญ์บางคนที่แสดงออกถึงความอิสระภายใน อิสระทางจิตใจ ความอิสระจากโลกมิอาจแยกตัวหรือหลุดพ้นจากการพัวพันอยู่ในโลกหรืออยู่กับโลกนี้ </div><div align="justify"><br />ขอบเขตจำกัดประการที่สองของอิสรภาพก็คือ โดยลำพังตัวมันเองแล้วอิสรภาพคือความว่างเปล่า เพราะอิสรภาพนั้นหมายถึงการหลุดพ้นจากความกลัว ถึงการเพิกเฉยไม่ใยดีต่อทุกข์สุข ถึงความไม่หวั่นไหว ไม่ถูกกระทบกระเทือนด้วยความรู้สึกและความใคร่ ความอยาก แต่อะไรเล่าที่มีอิสระ! สิ่งที่จะมีอิสระในที่นี้ก็คือจุดของความเป็นตัวเรา คือมนุษย์ นิตเชย์ (Nietzsche) เคยมีความคิดรุนแรง มนุษย์จะมีอิสรภาพต่อเมื่อไม่มีพระผู้เป็นเจ้า หรือถ้าจะใช้ภาษาของนิตเชย์ เมื่อพระผู้เป็นเจ้าถึงแก่อนิจกรรม เพราะตราบใดที่ยังมีพระผู้เป็นเจ้า มนุษย์จะไม่เติบโตเพราะต้องคอยอ้างอิงพึ่งพาพระผู้เป็นเจ้าอยู่เนืองนิจ </div><div align="justify"><br />ขอบเขตจำกัดประการที่สามของอิสรภาพก็คือ ลักษณะธรรมชาติพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ในฐานะเป็นคน เราจำต้องมีความผิดพลาด เมื่อเราตื่นขึ้นในจิตสำนึกครั้งแรก เราก็ตระหนักเสียแล้วว่าเราได้หลงผิด เมื่อเรามีความหลง ความลืม ความคลุมเครือ ความกระจ่างชัดในจิตใจ ความผิดพลาด เช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะสามารถตะเกียกตะกายให้ได้มาซึ่งอิสรภาพอันสมบูรณ์ เมื่อเราทำโดยไม่รู้ การกระทำของเราก็ไม่อาจดีไปได้อย่างแท้จริง แต่เราคิดและเข้าใจว่าการกระทำนั้น ดี ถูกต้อง และมีความรู้สึกภาคภูมิ มีความมั่นคง แต่คานท์ (Kant) ได้แสดงให้เห็นว่า ในการกระทำที่ดีทั้งหลายแหล่นั้น ก็ยังมีเหตุผลักดันอยู่เบื้องหลังที่แอบแฝงซ่อนเร้น และอาจไม่อยู่ในจิตสำนึก ซึ่งคำนึงถึง “ตัวเอง” อยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การกระทำนั้นไม่บริสุทธิ์ ไม่เสรี และไม่อิสระโดยสิ้นเชิง...ธรรมชาติเช่นนี้เรามนุษย์ไม่อาจขจัดเสียได้ </div><div align="justify"><br />เราไม่มีความเชื่อมั่นในปราชญ์ที่ไม่ยอมให้มีการโต้แย้ง เราไม่ต้องการความเพิกเฉย ไม่ใยดี ความไม่หวั่นไหว ความไม่ขึ้นและไม่ลง เพราะลักษณะของความเป็นมนุษย์จะต้องประสบ เรียนรู้ และตระหนักด้วยตัวเองว่าอะไรเป็นอะไร ในกิเลสและความกลัวด้วยน้ำตาแห่งความเศร้าและความทุกข์ และด้วยนำตาแห่งความยินดีปรีดา ฉะนั้น ด้วยการกระตุ้นของความผูกพันอยู่กับความเคลื่อนไหวของอารมณ์ และมิใช่ด้วยการขจัดอารมณ์เราจึงจะเข้าถึงตัวเราเอง และรู้จักตัวเราเอง เราจึงจะรับทุกข์โดยไม่ตีโพยตีพาย ถึงแม้จะหมดศรัทธาก็ไม่ยอมให้มาบั่นทอนตัวเอง ถึงแม้จะไหวหวั่นกระทบกระเทือน ก็ไม่ยอมให้มาทำลายชีวิตโดยสิ้นเชิง ในขณะเดียวกันอิสรภาพทางใจจะเพิ่มพูนแข็งแกร่งขึ้นในตัวเรา มีประโยคที่ว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" (สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย) คำกล่าวประโยคนี้ เป็นของท่าน พุทธทาสภิกขุ ที่เคยกล่าวไว้ ควรจะถือว่าเป็นหัวใจของพุทธศาสนา เพราะมีเรื่องราวกล่าวอยู่ในบาลีว่า เมื่อมีผู้มาทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงประมวลคำสอนทั้งสิ้น ให้เหลือเพียงประโยคสั้นๆ เพียงประโยคเดียว พระองค์ก็ตรัสประโยคนี้ และทรงยืนยันว่า นี่แหละคือใจความของคำสอนทั้งหมด ถ้าได้ปฏิบัติในข้อนี้ ก็คือได้ปฏิบัติทั้งหมดของพระองค์ ทรงยืนยันว่า ถ้าได้ฟังคำนี้ ก็คือได้ฟังทั้งหมด ถ้าได้รับผลจากการปฏิบัติข้อนี้ ก็คือได้รับผลจากการปฏิบัติทั้งหมด ฉะนั้น เราจะมองเห็นได้ทันทีว่า การศึกษาธรรมะทั้งหมด ก็คือเรียนเพื่อไม่ให้ยึดมั่นในสิ่งใดๆ </div><div align="justify"><br />การคิดอย่างปราชญ์และปัญญาจากภายใน หมายถึง การฝึกฝนต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพทางใจหรืออิสรภาพภายใน แต่มิใช่การเป็นเจ้าของอิสรภาพนั้น เพราะเมื่อใดที่ได้อิสรภาพทางใจมาเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ เมื่อนั้นก็หยุดความเป็นปราชญ์ และกลายเป็นผู้สำเร็จ... “บิ๊กแบงภายในที่มี อิสรภาพทางใจจึงเกิด”</span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-37973959512744735322007-08-07T02:36:00.000-07:002007-08-07T08:09:04.190-07:00บิ๊กแบงของจักรวาลภายใน (บิ๊กแบงภายในใจ)<div align="justify"><span style="font-family:arial;">ไม่ทราบว่ามีผู้อ่านสังเกตและมองเห็นบ้างหรือไม่ สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อนข้างฉับพลันหากว่าเราจะไม่ใช้คำว่าทันทีทันใดของจิตใจ จิตวิญญาณของมนุษย์ชาติในหลักการและในภาพรวมนั่น เป็นความคิดเห็นจากข้อสังเกต ที่ไปตรงกับนักเขียนที่เป็นนักคิดนักวิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งยุคใหม่ทุกคนกระมังที่คิดไปในทิศทางเดียวกัน แม้ว่าการใช้คำว่า “บิ๊กแบง” ในที่นี้ นำมาใช้อธิบาย ออกจะหวือหวาเกินไปบ้างก็ขออภัย เพราะนำมาใช้เพียงเป็นอุปมาอุปมัยเพื่อเน้นชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก “ภายใน” ของมวลมนุษยชาติอย่างเห็นได้ชัด ความหมายจริงๆของผู้เขียนเองแล้วนั้น คือ “นิพพาน” </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />นักคิดที่ศึกษาการเปลี่ยนจากภายในนี้เริ่มต้นด้วยคนจำนวนน้อยนิด ผู้ที่มีโอกาส "ตื่น" ในช่วงแรกๆ เมื่อราวๆ สามสี่ทศวรรษก่อน โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ดังที่ ฟริตจ๊อฟ แคปร้า และต่อมา การี่ ซูก๊าฟ คิดว่าเป็นเพราะการเปิดศักราชใหม่สู้ปัญญาชนชาวตะวันตก ได้มองเห็นความสอดคล้องกันระหว่างฟิสิกส์แควนตัม กับอภิปรัชญาของศาสนาที่อุบัติขึ้นมาทางตะวันออก เช่น ศาสนาพุทธ หรือ เต๋า เป็นต้น หลายคนนำความเชื่อมประสานนั้นมาสะท้อนสู่ภายในอันเป็นสาเหตุให้เกิดการ “ตื่น” ทางจิตวิญญาณ แต่ผู้เขียนคิดว่า การสะท้อนจากความรู้ความจริงใหม่ก็ดี การสะท้อนจากความล่มสลายของระบบนิเวศธรรมชาติก็ดี เรื่องการแพทย์ทางเลือกก็ดี และการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงที่ฐานของการเรียนรู้ก็ดี ทั้งหมดนี้มีสิ่งที่เป็นสากลกว่านั้น ผลักดันอยู่เบื้องหลังที่ทำให้การโผล่ปรากฏและการตื่นขึ้นมาของชาวโลกนั้นเป็นไปได้ ที่นับวันการตื่นขึ้นมาและการสืบค้นแสวงหาได้แผ่สู่ประชาโลกในวงกว้าง มีจำนวนทวีเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว </div><div align="justify"><br />ที่สังเกตและมองเห็นทำให้เชื่อจริงๆว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ภายในที่ว่านั่น หรืออย่างน้อยมีการสืบค้นแสวงหาเส้นทางใหม่ หรือทางออกใหม่ให้กับตนเอง และกับส่วนรวมอย่างจริงจัง จึงอยากเห็นนักวิจัยคนอื่นๆ ลองสำรวจประชากรของโลกดูใหม่ว่าจากช่วงปี ๑๙๙๕ หรือ ๑๙๙๖ จนถึงวันนี้ จะมีจำนวนของประชากรโลกที่มีการเปลี่ยนย้ายโลกทัศน์จากภายใน ที่ พอล เรย์ เรียกว่ากลุ่มสร้างสรรค์วัฒนธรรมหรือสร้างสรรค์สังคมใหม่ ซึ่งเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาในเวลานั้น มีเพียง ๒๔ เปอร์เซ็นต์ของประชากรที่เป็นผู้ใหญ่ ว่า ณ เวลานี้และถึงตอนนี้ และอีกแปดปีต่อมาจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกเท่าไร และอยากเห็นการวิจัยที่คาดการณ์ด้วยว่า ผู้ที่เปลี่ยนแปลงหรือสามารถจะ “ตื่น” ได้ทันกับเวลานั้นจะมีจำนวนมากพอที่จะกำหนดวิถีการดำรงชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติอย่างสมภาคสมดุลและยั่งยืนได้หรือไม่ (นักวิทยาศาสตร์ระดับนำของโลกหลายคนคาดว่า โลกในสภาพทางกายภาพเช่นปัจจุบันจะมีเวลาเหลือเพียง ๒๐ - ๓๐ ปีเท่านั้น) </div><div align="justify"><br />ว่าไปแล้วหากสังเกตสถานการณ์ และเชื่อว่าจำนวนของมนุษย์ที่มีการเปลี่ยนย้ายกระบวนทัศน์ หรือการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างมากจริง และหากเป็นเช่นนั้นกันทั้งโลก เราคงต้องมองเหตุการณ์ที่เกิดกับศูนย์การค้าโลกเมื่อวันที่ ๑๑ เดือนกันยายน ปี ๒๐๐๑ (เหตุการณ์ 9/11) กันใหม่จากอีกมุมมองหนึ่งพร้อมๆ กับมองประเด็นของความเลวร้ายของการก่อการร้ายในอีกด้านหนึ่งพร้อมกันไปด้วย คือ มองเหตุการณ์ในวันนั้นว่าเป็นผลของความล่มสลายโดยสิ้นเชิงของระบบสังคมและเศรษฐกิจโลก เช่นเดียวกับที่เรายอมรับความล่มสลายของระบบนิเวศธรรมชาติ ความล้มเหลวของระบบการศึกษา ความบกพร่องของการบริการด้านสุขภาพ และทางการแพทย์กายภาพสมัยใหม่และอื่นๆทั้งมวลของอายรธรรม เหตุการณ์ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา (9/11) จึงเป็นประหนึ่งตัวผลักดันหรือเป็นประเด็นปัจจัย “ตัวดึงดูด” ตัวใหม่ที่ดึงหรือดันให้กลไกของความโกลาหลไร้ระเบียบให้เกิดขึ้นตามทฤษฎีลูกโซ่ได้ หรือแม้แต่เหตุการณ์โศกนาฏกรรมคลื่นสึนามิเมื่อ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ เป็นอีกครั้งที่ประวัติศาสตร์โลกต้องจารึกไว้ ซึ่งมีผลกระทบให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตมนุษย์และทรัพย์สินอย่างมหาศาล ซึ่งเหตุการณ์นั้นทำให้มนุษย์เราได้เปลี่ยนย้ายกระบวนทัศน์ใหม่ของความเป็นมนุษย์เราขึ้นได้ ต่างเชื้อชาติ ต่างอายรธรรม ต่างศาสนา ได้เป็นหนึ่งเดียวกันเกิดขึ้นทั่วโลก อย่าลืมว่าในสายตาของโลกธรรมชาติที่ปราศจากการแบ่งแยกนั้น ซึ่งแน่นอนย่อมไม่ได้ให้ความสนใจต่อมนุษย์เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ที่เกิดขึ้นนั้น แม้ว่าล้วนเป็นฝีมือของมนุษย์ที่กระทำกับมนุษย์ก็ตาม แต่ผลพวงทั้งหลายได้กระทบกระทั่งทุกสรรพสิ่งในโลกในจักรวาลจนก่อความไม่สมดุล หรือห่างไกลจากสมดุลเป็นอย่างยิ่ง กลไกของทฤษฎีลูกโซ่และระบบการจัดองค์กรตนเองของธรรมชาติจึงเคลื่อนไหว ดังนั้นกระบวนการทั้งหมดจึงอาจมองได้ว่ามันเป็นเรื่องจิตจักรวาล หรือเป็นเรื่องที่ทั้งศาสนาพุทธ ฮินดู และ เต๋า บอกว่า “มันต้องเป็นไปของมันเองเช่นนั้น” ประหนึ่งว่ามันเป็นแผนโครงการ หรือเป็นแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาล ที่ พอล เดวีส์ นักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยนิวเซาธ์เวล ตั้งเป็นคำถามไว้ <em><span style="font-size:85%;">(Paul Davies; Cosmic Blueprint, ๑๙๘๙)</span></em> ดังนั้นตัวละครทั้งหมดที่กำลังเล่นกันอยู่ในเวทีโลก ล้วนเป็นไปตามแผนการณ์นั้น </div><div align="justify"><br />เพราะฉะนั้น ทั้งผู้นำต่างๆของประเทศนั้นๆที่ทำสงครามกันในปัจจุบันนี้ หรือแต่จะย้อนอดีตไปถึงยิวกับปาเลสไตน์สมัยก่อนก็ตามที ล้วนเป็นตัวเล่นอยู่บนเวทีโลกที่เป็นไปตามแผนโครงการนั้นๆทั้งสิ้น ความทุกข์ความขัดแย้งความเจ็บปวดและความเคียดแค้น ล้วนเป็นผลพวงของจิตที่ติดอัตตาไร้วิวัฒนาการของเรามานานเช่นนั้น ที่เมื่อถึงเวลาที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกระดับหนึ่งที่อยู่สูงกว่า เหตุการณ์ทั้งหมดจึงต้องเป็นไปของมันเช่นนั้นด้วย การสะท้อนความคิดสู่ภายในที่แน่นอน มีส่วนอย่างยิ่งต่อการก่อให้เกิดบิ๊กแบงของวิวัฒนาการของจักรวาลจากภายใน ซึ่งจะนำมาสู่ความรู้ใหม่หรือผลสะท้อนตามมาของความเจ็บปวดและความทุกข์ของชาวโลกให้ทุกคนได้ประจักษ์ด้วยตนเองพร้อมๆกัน เพื่อที่จะเอื้อให้ต่อการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณของมวลมนุษย์สามารถเกิดขึ้นมาได้เอง “มันเป็นไปของมันเช่นนั้นเอง!” </div><div align="justify"><br />ถ้าเราลองมาพิจารณาเฉพาะหน้าและวิถีของการเคลื่อนไหวในช่วงของปัจจุบัน เราอาจพบว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวโลกทั้งหมด อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ภายในของจิตจักรวาลที่อยู่ในตัวมนุษย์เราทุกคนในครั้งนี้อย่างถี่ถ้วนก็ได้ เราหลายๆคนก็อาจจะมองเห็นเช่นเดียวกับที่ผู้เขียนสังเกต และมองเห็นก็ได้ นั่นคือ ที่มาของบทบาทมวลมนุษย์เรา ที่จะต้องเล่นการแสดงในเวทีโลกนี้ต่อไป... </div><div align="justify"><br />ทั้งนี้ เป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กๆ ของประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติและประวัติศาสตร์ของจิตมนุษย์บนโลก ส่วนที่มาปฐมหรือเบื้องต้นของปรากฏการณ์ของโลก ว่าด้วยวิวัฒนาการของมนุษย์และวิวัฒนาการของจิตจักรวาลที่อยู่ในตัวมนุษย์นั้นหากนำมาเขียนในช่วงนี้ นอกจากจะไม่ช่วยอะไรได้แล้วยังจะเป็นประเด็นที่อันตรายต่อความรู้สึกนึกคิดของคนในบางชาติพันธุ์บางวัฒนธรรมเกินไปที่จะนำมาเขียนในช่วงเวลาที่เป็นหน้าสิ่วหน้าขวานของโลกในขณะนี้ ซึ่งที่มาปฐมที่ว่านี้คือ ประวัติศาสตร์ของมนุษย์และสังคมมนุษย์ ที่จะผูกพันกับเงื่อนไขของวิวัฒนาการทางจิตจักรวาลและทั้งยังผูกพันกับอนาคตของ “ความเป็นมนุษย์” โดยกายวิภาคศาสตร์ (physical) และอนาคตของจิตมนุษย์โดยหน้าที่ </div><div align="justify"><br />เราอาจจะว่ากันตามเนื้อผ้าได้ว่า โลกทัศน์ที่เราส่วนใหญ่ถักทอขึ้นมา เราพูดกันเองบนฐานของความเป็นมนุษย์ เราคิดเอาเองว่าเราคือเผ่าพันธุ์ที่ก้าวหน้า “พ้นความเป็นสัตว์” ไปแล้ว พูดง่ายๆ คือ เราส่วนใหญ่คิดเอาเองว่าเรายิ่งใหญ่และก้าวหน้าเหนือชีวิตอื่นใด “โลกเป็นของเรา” อัตตาร่วมของเผ่าพันธุ์ แต่หากว่าเราส่วนใหญ่ยังติดอัตตาเช่นที่ผู้นำโลกไม่กี่คนกระทำในเวลานี้นั้น เราเหล่านั้นก้าวหน้าเหนือความเป็นสัตว์จริงๆหรือไม่ นั่นคือ เราส่วนใหญ่ต้องสะท้อนความคิดและประสบการณ์ที่ได้จากทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วสู่ภายในให้ทัน เราส่วนใหญ่ต้องเปลี่ยนตัวเองให้ทัน บิ๊กแบงแห่งจักรวาลภายในต้องเกิดให้ทันกับเวลา ก่อนที่ “มันจะเป็นไปของมันเช่นนั่นเอง” ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปกว่านี้ </div><div align="justify"><br />เราจึงต้องหวนกลับไปที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ว่า ในสายตาของจักรวาล ในสายตาของโลกธรรมชาติที่ปราศจาการแบ่งแยก แน่นอนอยู่แล้วว่าความยิ่งใหญ่อัตตาของเผ่าพันธุ์ที่เราคิดเองที่ว่านั้น โลกธรรมชาติไม่เคยสนใจ โลกธรรมชาติไม่ได้คิดว่ามนุษย์อยู่เหนือสิ่งอื่นใดเป็นพิเศษเลย กระบวนการธรรมชาติมีกระบวนการเดียว คือ “ทุกสิ่งไหลเลื่อนเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน” เชื่อมโยงกันอย่างที่จะแยกจากกันไม่ได้ มนุษย์ก็เช่นนั้น มดปลวกก็เช่นนั้น ไดโนเสาร์ก็เคยเป็นเช่นนั้นก่อนการโผ่ลปรากฏกลายเป็นนกในปัจจุบัน ใครจะไปรู้ว่าต่อไปในอนาคตมนุษย์เราอาจเป็นดุจไดโนเสาร์ในอดีตที่หายไปเมื่อเปลี่ยนตัวเองไม่ทันจะโผล่ปรากฏเป็นอะไรในอนาคตหรือไม่สำหรับเรา...</span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-667437707890661165.post-80778188564927628122007-08-07T02:31:00.000-07:002007-08-07T08:07:10.062-07:00เข้าถึงความคิดนิพพานเข้าถึงบิ๊กแบงภายในใจ (จบ)<div align="justify"><span style="font-family:arial;">เมื่อมาถึงบทสุดท้าย หวังว่าผู้อ่านสามารถเข้าใจสู่ถึง “บิ๊กแบงภายในใจ” ของตัวเองได้ มิฉะนั้น อย่างน้อยก็คงจะเปิดโลกทัศน์ของผู้อ่านได้บ้างไม่มากก็น้อย เราจะมองปัญหาต่างๆในอีกมิติหนึ่งได้ และผู้อ่านจะมีสายตามองโลกที่ต่างออกไป ปัญหาต่างๆที่ซึ่งเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางสังคม ปัญหาทางเศรษฐกิจ ถึงแม้จะไปจนถึงปัญหาสงครามโลกก็ตามที จะเป็นเพรียงแค่ปัญหาใน “กำมือคุณเท่านั้น” ทั้งนี้จะเป็นสิ่งที่คุณจะรู้ได้ตามจริงเองเมื่อเข้าถึง บิ๊กแบงภายในใจ ผมขอยกตัวอย่าง เช่น ปัญหาสงครามโลกถ้ามันมีเกิดขึ้นมา จะเป็นปัญหาที่มีผลกระทบไปเป็นลูกโซ่ได้กล่าวคือ จะเกิดปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ปัญหาทางด้านสังคม ปัญหาทางด้านมนุษย์ธรรม ตามมา เพราะอะไร กล่าวคือ </span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />ถ้าชาวโลกยังบูชาลัทธิวัตถุนิยม มัวแสวงแต่ความสำราญทางกายอย่างเดียวอยู่เพียงใด ก็ไม่มีหวังในสันติภาพได้ นักวัตถุนิยมเห็นกายเป็นใหญ่ ย่อมเสียสละได้ทุกอย่างเพื่อให้กายหรือโลกของตนได้มา ส่วนนักจิตนิยม เห็นแก่จิตเป็นใหญ่ ย่อมเสียสละได้ทุกอย่างเหมือนกัน เพื่อแลกเอาความสงบเยือกเย็นของจิต ผู้แสวงความสำราญทางกายนั้น การแสวงของเขาจำเป็นอยู่เองที่จะต้องกระทบกับผู้อื่น เพราะความสำราญกายนี้เป็นของเกี่ยวเนื่องด้วยกับผู้อื่น หรือสิ่งแวดล้อมอยู่โดยรอบ ท่าน พุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อความเห็นแก่ตัวมีอยู่ ก็ต้องมีการกระทบกันเป็นธรรมดา การสงครามก็คือ การปะทะหรือกระทบกันของคนหลายคน ที่ต่างฝ่ายต่างมีความเห็นแก่ตัว เพื่อความสำราญทางกาย หรือ อุปทานต่างๆของความต้องการ (ประเทศนั้นๆ) นั่นเอง “สงครามโลก” ซึ่งเป็นเพียงความเห็นแก่ตัวของคนหลายชาติรวมกันก็ไม่ต่างอะไรกันอีก ส่วนการแสวงหาความสุขทางฝ่ายจิตนั้น จะไม่กระทบกระทั่งใครเลยแม้แต่น้อย เพราะเหตุว่า มีอะไรๆให้แสวงอยู่ในตนผู้เดียว ไม่ต้องเกี่ยวเนื่องด้วยกับผู้อื่น การสงครามไม่สามารถเกิดจากผู้แสวงสุขทางจิตได้เช่นเดียวกันกับที่ “ไฟไม่สามารถเกิดจาก ความเย็นได้เช่นกัน” </div><div align="justify"><br />แต่ก็อย่างที่ผมกล่าวมานั้น มันจะเป็นปัญหาเพียงแค่กำมือคุณเท่านั้นเอง ผู้อ่านบางท่านอาจจะเกิดการโต้แย้งหรือสงสัยได้ว่าปัญหาสงครามโลกมันจะเป็นเพียงแค่ปัญหาเล็กๆได้ไง มันมีผมกระทบถึงระดับประเทศ ระดับชาติ ระดับโลกเชียวน่ะ ผมขอบอกได้ว่าผู้อ่านสามารถศึกษาได้จากประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปได้เป็นพันๆปี แล้วจะพบว่าปัญหาลักษณ์นี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตกาล บางเหตุการณ์ปัญหายิ่งใหญ่กว่าสงครามโลกที่เคยเกิดขึ้นมาในช่วงยุคประวัติศาสตร์จากปัจจุบันเราเสียอีก การล่าอาณานิคมเมื่อพันๆปีก่อน การสูญสลายของเผ่าพันธุ์มนุษย์บางเผ่าพันธุ์ อาณาจักรบางอนาจักรที่เคยยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองมาแต่อดีตกาล ก็ยังสูญสลายไป เช่น จักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิอียิปต์ จักรวรรดิขอม แม้แต่ทางด้านศาสนาก็เคยมีการเกิดและสูญสลายไปได้ อย่างเช่นศาสนาพุทธที่เคยเกิดขึ้นและรุ่งเรืองในอินเดียอดีตกาล ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาพุทธโดยแท้ก็ยังสูญสลายไปจากอินเดียได้ และอย่างจักรวรรดิขอมที่เคยรุ่งเรืองที่สุดอยู่ในแถบเอเชียเฉียงใต้ก็สูญสลายไป (เมื่อสมัยยุคนั้นยังไม่เคยมีคำว่าเอเชียหรือแม้แต่คำว่าประเทศไทยเรามีแต่อาณาจักรขอม) ขอยกตัวอย่างอีกจักรวรรดิหนึ่งคือ จักรวรรดิมองโกเลียหรือเรียกอีกอย่างว่า จักรวรรดิแห่งข่าน ซึ่งเคยรุ่งเรืองอยู่ในยุคหนึ่งเช่นกันที่กินพื้นที่แถบจีนไปจนถึงอินเดียตอนเหนือจนถึงแทบยุโรป ก็ยังสูญสลายไปได้ และยังมีอีกหลายอาณาจักรอีกมากมายที่เกิดและดับศูนย์ไป ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมานี้ ก็เหลือแต่หลักฐานทางซากปรักหักพังแห่งโบราณวัตถุให้เราได้ศึกษา ได้ย้อนหลังไปเป็นพันๆปีเท่านั้น </div><div align="justify"><br />แล้วสิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่คืออะไรเล่า ก็ขอบอกได้เพียงว่า “จิต” (Mind) หรือใจเรานี่แหละ จิตในตัวเราทุกคนนี้ จิตที่ตั้งไว้ผิดย่อมนำมาซึ่งอันตรายซึ่งร้ายยิ่งกว่าอันตรายที่ศัตรูใจอำมหิตจะพึงกระทำให้ จิตที่ตั้งไว้ถูกจะนำมาซึ่งประโยชน์มากกว่าคนที่หวังดีที่สุด ทั้งนี้เป็นการชี้ให้เห็นโทษของการที่ตั้งจิตไว้ผิด แต่สิ่งที่มนุษย์ในโลกกำลังกลัวกันนั้นหาใช่จิตที่ตั้งไว้ผิดไม่ เพราะเขายังไม่รู้จักสิ่งๆนี้ จึงไปสนใจกลัวสิ่งซึ่งไม่น่ากลัวเท่าสิ่งๆนี้ เช่นกลัวลัทธิการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามบ้าง กลัวสงครามหรือการอดอยาก กลัวเศรษฐกิจจะตกต่ำ กลัวผีสางกลัวเทวดา กลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ กลัวกันจนถึงกับหมดความสุข หรือกลายเป็นความทุกข์ไป </div><div align="justify"><br />ทุกข์ภัยทั้งหมดของโลกมาจากจิตที่ตั้งไว้ผิดนี่เอง คือจิตที่ตั้งไว้ผิดก็ทำให้สิทธิที่ไม่พึงปรารถนาขึ้น ทำให้เกิดการอดอยาก การเบียดเบียน และการสงคราม ฯลฯ เมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้ว ชาวโลกก็หาได้สนใจไม่ว่ามันเกิดขึ้นจากอะไรกันแน่จึงจัดการแก้ไขไปอย่างผิดๆ กระทำไปด้วยความกลัวเพราะไม่มีจิตที่ดี ซึ่งสามารถขจัดความกลัวออกไปเป็นอย่างดี (แม้ลำพังความกลัวล้วนๆ ก็ถือว่าเป็นจิตที่ตั้งไว้ผิดเหมือนกัน) เพราะฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่าจิตที่ตั้งไว้ผิดอยู่เป็นตอนๆ ต่อเนื่องกันไปหลายระดับ เมื่อไม่มีการตั้งจิตใจไว้ในลักษณะที่ถูกต้องเลย สิ่งที่เรียกว่า ความเห็นแก่ตัว ความเห็นว่ามีตัวมีตนจึงเต็มไปหมด แม้กระนั้นก็ไม่มีใครเอาใจใส่ ไม่สนใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร จนทำให้โลกนี้ตกอยู่ในสภาพที่อยู่ใต้กะลาครอบของความคิดตัวเอง คือความมืดมนอลเวงเต็มไปด้วยปัญหายุ่งยาก ซึ่งสรุปแล้วก็คือ ความทุกข์ แล้วก็แก้ไขความทุกข์กันไปเรื่อยๆ ด้วยอาการที่รู้สึกว่าตื่นเต้นสนุกดี คือได้ลองฝีมือใช้ความรู้ใหม่ๆ แปลกๆ แม้จะแก้ไขความทุกข์ของโลกไม่ได้ ก็ยังเพลิดเพลินอยู่ด้วยความรู้หรือความสามารถใหม่ๆ สิ่งเหล่านั้นเป็นเสมือนเครื่องหลอกให้อุ่นใจ อาการเช่นนี้เองที่เป็นเครื่องปิดบังไม่ให้ไปสนใจถึงต้นเหตุอันแท้จริงของวิกฤตการณ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ไม่สนใจในเรื่องของจิตที่ตั้งไว้ผิด เพื่อจะได้เข้าถึงความจริงในสรรพสิ่ง </div><div align="justify"><br />น่าประหลาดอยู่อย่างหนึ่งก็ คือ ใครๆก็พยายามจะแสดงตนว่าเป็นผู้รู้จักตัวตนดีเพราะมีความรู้ และให้ความหมายของตัวตนกันไปเองตามชอบใจ ดูประหนึ่งว่าเขาเป็นผู้เข้าใจหรือรู้จักตัวตนดีอย่างแจ่มแจ้ง แต่แล้วก็เป็นที่น่าขบขันที่ความรู้นั้นใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เขาไม่เห็นอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริงว่าความทุกข์นั้นมันอะไรกันแน่ อะไรเป็นมูลเหตุที่แท้จริงของความทุกข์ สภาพที่ปราศความทุกข์จริงๆ นั้นเป็นอย่างไร และวิธีปฏิบัติอย่างไรคนเราจึงจะเข้าถึงสภาพที่ไม่มีความทุกข์ หรือ “นิพพาน” หรือ “บิ๊กแบงภายในใจ” ที่ผู้เขียนเปรียบเทียบขึ้นมาเอง </div><div align="justify"><br />อย่างที่กล่าวมา ถ้าได้เข้าถึงบิ๊กแบงภายในใจเรา ตัวเราจะมีความรู้สึกเข้าถึงจักรวาลเช่นกัน เป็นส่วนหนึ่งเดียวกัน เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่ใช่จักรวาลเป็นของเรา ธรรมชาติเป็นของเรา (ดังที่กล่าวมาแล้วในมิติความสัมพันธ์ของมนุษย์) แต่มนุษย์ก็คือส่วนหนึ่งของจักรวาล และภายในของมนุษย์เองนั้น คือ จิตรู้ ที่มีขึ้นมาเพื่อให้เรียนรู้จักสรรพสิ่งต่างๆในความเป็นจริง หรือพูดว่ามนุษย์มีขึ้นมา เพื่อให้จิตรู้มีที่ตั้งหรือเป็นฐาน เพื่อการเรียนรู้ความจริง ปรัชญา ศาสนา และวิทยาศาสตร์ จึงเกี่ยวกับนิยามของความเป็นมนุษย์อย่างแยกจากกันไม่ได้ ปริศนาอาจเป็นคำถามที่มีเป้าหมายเบื้องต้นที่ความลี้ลับของจักรวาล ความเป็นมาและจุดมุ่งหมายของการเกิดขึ้นมา และการดำรงอยู่ รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างกันของธรรมชาติและชีวิต โดยเฉพาะมนุษย์ ส่วนปรัชญาอาจเป็นคำตอบหรือความพยายามที่จะแสวงหาความจริงที่มีอยู่ เบื้องหลังคำถามธรรมชาติเหล่านั้นด้วยปัญญา เพื่อยังหาความรู้ความเข้าใจร่วมกันของมนุษย์เราต่อความจริงแท้ </div><div align="justify"><br />ดังนั้นมนุษย์ในทุกยุคสมัยจึงต้องตั้งคำถาม ต้องตั้งปริศนาขึ้นมาเพื่อหาคำตอบของความจริงให้ได้ ตรงนี้หากเราคิดให้ลงไปถึงที่สุด เราก็จะได้คำตอบ ต่อคำถามตั้งแต่บทต้นๆ สุดที่อ่านมา นั่นคือ ชีวิตคืออะไร? มนุษย์เกิดมาทำไม? หรือทำไมต้องมีมนุษย์? เพราะหากเพียงต้องการกิน ต้องการสืบพันธุ์ ต้องการต่อสู้หรือหนีภัยเอาตัวรอด ก็ไม่เห็นจำเป็นอะไรที่ต้องมีมนุษย์ขึ้นมา เป็นแค่สัตว์ธรรมดาๆ ทั่วไปก็พอแล้ว ธรรมชาติหรือจักรวาลไม่จำเป็นต้องมีวิวัฒนาการของสติปัญญาและจิตใจให้มันยุ่งยาก ไม่จำเป็นต้องสร้างระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคมและการเมือง เพราะที่สร้างขึ้นมาทั้งหมด ไม่ว่าจะวิจิตรตระการตาแค่ไหน ตีไข่ใส่สีให้ดูดีงาม ประการใดก็คือการกิน คือการสืบพันธุ์และความอยู่รอด หรือว่าคือการต่อสู้หนีภัยอันเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ธรรมดาๆ สุดท้ายก็ต้องดับสูญไปอยู่วันยังค่ำ ดังนั้นคำตอบเพื่อตอบว่าทำไมต้องมีมนุษย์ ก็เพราะว่ามนุษย์ไม่ใช่สัตว์ธรรมดาๆ หากว่ามนุษย์จำเป็นต้องอาศัยทางผ่าน ต้องอาศัยวิวัฒนาการของสสารวัตถุรูปกายแห่งชีวิตมาตามลำดับบ้าง นั่นก็เพื่อให้โอกาส ต่อการเรียนรู้ “ธรรม” หรือความจริงแท้ของธรรมชาติในสรรพสิ่งหรือจักรวาลนั่นเอง การเรียนรู้จากคำตอบที่ได้ด้วยจิตและปัญญาต่อปริศนาคำถาม ทำให้เราต้องมีมนุษย์ขึ้นมา หรือมีตัวตนเราเกิดขึ้นมา หรือ “ชีวิต” (Life) นั่นเองเพื่อเรียนรู้ </div><div align="justify"><br />ทฤษฎีบิ๊กแบงนั้นได้รับการเชื่อมต่อด้วยทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolution Theory) ของชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) เมื่อโลกเย็นตัวลงนั้น ปฏิกิริยาเคมีจากมวลสารในโลกในที่สุดแล้วก่อให้เกิดไอน้ำ และไอน้ำก่อให้เกิดเมฆ และเมฆตกลงมาเป็นฝน ทำให้เกิดแม่น้ำ ลำธาร ทะเล และมหาสมุทร วิวัฒนาการนี้มีลักษณะแบบ “ก้าวกระโดด” (Emergent Evolution) เมื่อมีสารอนินทรีย์และน้ำปริมาณมหาศาลเป็นเวลาที่ยาวนาน ในที่สุดคุณภาพใหม่คือ “ชีวิต” (Life) ก็เกิดขึ้น จากโครงสร้างของเซลล์ๆเดียว ชีวิตได้วิวัฒนาการซับซ้อนยิ่งขึ้นจนเป็นอาณาจักรพืชและสัตว์ การต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมในโลกธรรมชาติทำให้ชีวิตวิวัฒนาการแบบกาวกระโดดจากสัตว์น้ำ มาสู่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และสัตว์เลื้อยคลานมาสู่สัตว์บก จนมาสู่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในปัจจุบันนี้ เช่น ลิง มนุษย์ ทั้งหมดนี้กินเวลาหลายร้อยล้านปี ในวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดดของชีวิตในโลกเรานี้ มีคุณภาพใหม่ที่สำคัญเกิดขึ้นอย่างน้อยที่สุดสี่ ประการ คือ มวลสาร น้ำ ชีวิต และ จิตใจ นักชีววิทยาสังเกตว่า รูปแบบของชีวิตที่ซับซ้อนนับตั้งแต่ปลาขึ้นมาล้วนมีสิ่งที่เรียกว่าจิตใจเกิดขึ้นแล้ว เช่น ปลาโลมา แมว สุนัข และลิง แต่ที่มีคุณภาพสูงสุดได้แก่ “จิตใจของมนุษย์” จิตใจจึงเป็นปรากฏการณ์ ที่เป็นผลผลิตของวิวัฒนาการของจักรวาลนี้ กล่าวคือ เป็นจิตใจที่ใฝ่หาความรู้ความเข้าใจในตัวเอง มีความอิจฉาริษยา ขณะเดียวกันก็มีความเมตตากรุณา และใฝ่หาคุณธรรม ความจริงและสัจธรรม หรือาจกล่าวได้ว่าเป็นความรู้สึกซึ้งเกิดขึ้นภายในใจเราเอง ความคิดความรู้ที่โผล่พลุ่งขึ้นมาเองในความสงบในความฝัน หรือเป็นพรสวรรค์ของบุคคลบางคน หรือเป็นเหตุการณ์เร้นลับเหนือธรรมชาติที่เกิดกับชุมชนในบางครั้ง “จิตที่เปลี่ยนสภาพไป” ในช่วงนั้น หรืออาจอธิบายว่าเป็นอภิญญา ที่เกิดจากจิตที่แน่วนิ่งอยู่กับสมาธิหรือที่จดจ่อกับงานหรือสิ่งที่กำลังเกี่ยวข้องอยู่ในขณะนั้นๆ จิตอยู่ในภวังค์เช่นนั้น ประหนึ่งไม่ใช่เป็นตัวของตัวเองแต่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติของจักรวาล ดังเหมือนอยู่โลกใหม่หรือภพใหม่นี้เอง </div><div align="justify"><br />พุทธศาสนาของเราจะว่าไปแล้วไม่ใช่วิทยาศาสตร์ จึงไม่กล่าวถึงเรื่องของ รูปมากนัก ที่วิทยาศาสตร์เน้นที่รูปเป็นสำคัญ หากแต่ว่าพุทธศาสนานั้น จะมุ่งเน้นในเรื่องของจิตเป็นพิเศษในการกล่าวนี้ก็จะอ้างถึงเหตุของจิตว่าเป็นอย่างไรเพื่อทำการแก้ไขจิตให้เป็นอย่างดีและมีศิลธรรมนั้นเอง จะว่าไปแล้วนั้นพุทธศาสนานั้นถือได้ว่าเป็นจริยศาสตร์ และเป็นจริยศาสตร์อย่างบริสุทธ์โดยไม่เกี่ยวกับการอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ซึ่งต่างกับบางศาสนาที่ได้เอาจริยศาสตร์ไปปะปนกับความภักดีต่อพระเจ้า ส่วนความติดข้องเกี่ยวในเทพเจ้านี้ไม่มีในพุทธศาสนาเรา โดยมีคำสอนในเรื่องที่ว่า “พระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นปฐมาจารย์ของพุทธศาสนานั้นเป็นสิ่งที่เลิศกว่าเทพเจ้าใดๆ และมนุษย์ทุกคนคงอาจพากเพียรปฏิบัติตนจนกลายเป็นเหมือนดังพระพุทธเจ้าได้ (พระอรหันต์) พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่าการตรัสรู้ของพระองค์นั้นอยู่ตรงเรื่อง อริยสัจสี่ หรือสัจธรรมสี่ประการ ซึ่งเป็นคำตอบที่พระองค์จะทรงตรัสรู้ขึ้นว่าจะแก้ทุกข์ของมนุษย์เราได้อย่างไร </div><div align="justify"><br />กล่าวคือ พระองค์ทรงยอมรับว่า ทุกข์เป็นสิ่งที่มีอยู่ (ข้อหนึ่งในอริยสัจสี่) และจะต้องแก้ไขไม่ให้มี การที่มนุษย์เราทุกคนจะกำจัดสิ่งใดนั้นเราต้องกำจัดที่เหตุของมัน พระองค์จริงมองเห็นเหตุแห่งทุกข์และก็พบว่ากิเลสตัณหาเป็นเหตุอันทำให้เกิดทุกข์ขึ้นในใจ ตรงนี้เองที่พระองค์ก็ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้คนเราประพฤติชั่ว นั้นคือ การดิ้นรนในชีวิตเพื่อจัดหาสิ่งมาบำรุงตัณหาของตน ตัณหานี้เองพระองค์ทรงสอนว่ามีสามประการ คือ</span></div><span style="font-family:arial;"><div align="center"><br /><strong>* ความใคร่อยากได้สิ่งที่เราชอบ<br />* ความใคร่อยากให้สิ่งที่ชั่งเสื่อมสูญไป<br />* ความใคร่อยากให้ตนเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้</strong></span></div><span style="font-family:arial;"><div align="justify"><br />ความใคร่ทั้งสามนี้เองบังคับให้คนเราดำเนินการเอารัดเอาเปรียบกัน ประกอบอาชญากรรมแล้วก็ทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น ผลคือ ถ้าได้สิ่งที่สมหวังมาก็อาจก่อทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ถ้าไม่ได้มาก็เป็นทุกข์แก่ตัวเอง เหตุแห่งทุกข์นี้ในอริยสัจสี่จัดเป็น ทุกข์สมุทัย (ข้อสองในอริยสัจสี่) ความใคร่สามประการนี้จัดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เมื่อดำเนินตามไปก็เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นและตัวเองจนถึงสังคมด้วย พระพุทธองค์จึงทรงเห็นว่าการแก้ความทุกข์ของมนุษย์นั้นอยู่ที่การรู้จักระงับเสียซึ่งกิเลสตัณหานี้เอง ในอริยสัจสี่นี้เรียกว่า ทุกข์นิโรธ (ข้อสามในอริยสัจสี่) และอะไรคือวิธีระงับกิเลสตัณหาที่ทำให้คนเราเกิดความทุกข์ ข้อนี้เองที่พระองค์ทรงค้นหาวิธีตั้งแต่ออกผนวชและทรงพบว่าคือการปฏิบัติชอบตามวิธีมรรคที่พระองค์ทรงคิดขึ้นมาแปดประการ ที่ในอริยสัจสี่ข้อสุดทั้งที่เรียกว่า มรรคแปด (ข้อสี่ในอริยสัจสี่) </div><div align="justify"><br />และนี่เอง คือ จริยศาสตร์อันบริสุทธิ์โดยแท้ของพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ เพราะมันให้คำตอบแก่มนุษย์เราว่าควรจะปฏิบัติอย่างไรต่อชีวิต เมื่อมีความรู้สึกเป็นตัวตนเป็นของชีวิตเกิดขึ้นมาอย่างเต็มในรูปนี้แล้ว ก็นับได้ว่าการเกิดหรือโลกใหม่ได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว และหลังจากนั้นเราจะรู้ความทุกข์เท่าทันตน โดยสมควรแก่กรณี คือมากบ้างน้อยบ้าง ส่วนในกรณีของผู้ที่หมดการยืดมั่นในตัวตน ท่านไม่มีความรู้สึกว่าพอใจหรือไม่พอใจ กล่าวคือไม่คิดปรุงหรือคิดต่อไปให้เป็นอารมณ์ดีหรือเป็นอารมณ์ร้ายขึ้นมาได้ ความรู้สึกว่า “ตัวเรา–ของเรา” จึงไม่มีช่องทางที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะไม่มีการรับรู้เทียมเข้ามาบันดาล มีแต่การรับรู้ที่แท้จริงอยู่ประจำ การกระทบของสัมผัส ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ก็เป็นแต่สักว่าการกระทบหรือผ่านเข้ามาเฉยๆ แล้วก็ดับไป พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วก็สิ้นสุดลง ไม่คิดปรุงแต่เป็นความรู้สึกหรือเป็นความอยากขึ้นต่อไปของตัณหา ความรู้สึกว่า “ตัวตน–ของตน” จึงไม่เกิดขึ้น เพราะกระแสแห่งการเกิดถูกตัดตอนเสียแล้วตั้งแต่ในขั้นของการกระทบทั้งหมดนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเพราะการรับรู้มีอยู่ อารมณ์จึงเกิดมีความหมายขึ้นมา จิตที่ประกอบอยู่ด้วยการับรู้ย่อมคิดปรุงต่อไปเป็นความรู้สึกที่เป็น “ตัวเรา–ของเรา”เนื่องมาจากอารมณ์นั้นๆไป อารมณ์ที่ประทับใจแรงและนาน เราเรียกเป็นอารมณ์ใหญ่อารมณ์ที่มีความประทับใจนิดหน่อย เรียกอารมณ์เล็ก ส่วนที่อยู่ในระหว่างนั้นเรียกว่าอารมณ์ธรรมดา ปฏิกิริยาต่างๆ ที่กระทำลงไปก็สุดแต่กำลังของอารมณ์ที่ใหญ่หรือเล็ก อารมณ์ที่เป็นเหตุให้เกิดมีปฏิกิริยาขนาดใหญ่ ย่อมมีกำลังมากพอที่จะทำให้ร่างกายสั่นหรือใจสั่น หมายความว่ามีการประทับใจมากจึงมีเจตนามาก มีผลเกิดขึ้นคือทำให้เกิด “ตัวเรา–ของเรา” ชนิดที่ใหญ่หลวง ทำให้เกิดความระส่ำระสายเป็นทุกข์อย่างยิ่งถ้าอารมณ์น้อยก็เป็น “ตัวเรา–ของเรา” อย่างน้อย และมีความทุกข์น้อย ฉะนั้นใครจะเป็นตัวตนอย่างสัตว์ชั้นต่ำหรือสัตว์ชั้นสูงก็ได้ หรือเป็นตัวตนอย่างเทวดา หรือพรหมก็ได้ (อยู่ที่ระดับจิตใจเรา) </div><div align="justify"><br />เท่าที่บรรยายมาทั้งหมดนี้เป็นการชี้ให้เห็นลักษณะต่างๆ ของสิ่งที่เรียกว่า “ตัวตน” ให้เห็นมูลเหตุแห่งการเกิดขึ้นของมัน ให้เห็นสิ่งตรงกันข้าม คือ ความว่างจากความมี และให้เห็นวิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความว่างของตัวตน ในฐานะที่เป็นปัญหาสำคัญสำหรับมนุษยชาติทั้งมวลเพราะว่าความทุกข์ของคนทั้งหลายไม่ว่าจะอยู่ในภูมิไหนสูงต่ำอย่างไรก็ล้วนแต่มีความทุกข์เนื่องมาจากสิ่งที่เรียกว่า ตัณหาหรือการสำคัญตัวเองผิด หรือการยืดมั่นถือมั่นในตัวตน ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โดยสรุปอย่างสั้น “เบญจขันธ์ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน หรือความยึดมั่นถือมั่นในตัวเองนั่นแหละเป็นตัวทุกข์” การปรุงแต่งก็เป็นมูลเหตุให้เกิด การยึดมั่นถือมั่น นี่เป็นคำกล่าวของท่าน พุทธทาสภิกขุ ที่สอนไว้อย่างน่าคิด และยังกล่าวสอนอีกว่า </div><div align="justify"><br />การดับการปรุงแต่งหรือตัณหาเสียได้ คือ การดับทุกข์สิ้นเชิง การมีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องทุกลมหายใจ เข้า - ออก ทั้งในขณะปกติที่ไม่มีอารมณ์รบกวนและทั้งในขณะที่เผชิญหน้ากันกับอารมณ์นั่นแหละ คือ การปฏิบัติชอบ อันจะทำให้มนุษยชาติประสบสันติสุขอันถาวร ทั้งภายนอก และ ภายใน รวมทั้งส่วนตัวและส่วนรวมต่อสังคมและต่อประเทศจนถึงต่อธรรมชาติโลกมนุษย์เรานี้ด้วย ตลอดเวลาที่มนุษย์เราไม่เข้าถึงความจริงข้อนี้ โลกนี้จะยังคงมีวิกฤติการณ์ถาวร ระส่ำระสายวุ่นวายไม่มีหยุด อย่างที่ไม่มีใครจะช่วยได้ เพราะเป็นการกระทำที่ฝืนหลักความจริงแท้ หรือฝืนธรรมชาติ ฉะนั้นจึงอย่าได้ประมาท ในเรื่องของตัวตน จงได้พิจารณาโดยใช่ปัญญาดูกันภายในตัวเองใหม่ไปด้วยอยู่ตลอด ให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ แล้วก็จะได้ประสบสิ่งที่ดีที่สุด หรือประเสริฐที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้รับกับมาต่อธรรมชาติในสรรพสิ่งนี้โดยไม่ต้องสงสัยเลย คือ การได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทุกสรรพสิ่ง กล่าวคือ...</span></div><span style="font-family:arial;"><div align="center"><br /><strong><span style="font-size:180%;color:#00cccc;">“ บิ๊กแบงภายในใจ”<br />(นิพพาน)<br />"Big Bang In My Mind"<br />(Nirvann)</span></strong></div><div align="justify"><br />ความบริสุทธิ์ของหลักสำคัญสูงสุด ทั้งสองประการ คือ จิตหนึ่งหรือพุทธะด้านหนึ่ง กับนิพพานอีกด้านหนึ่ง จะมีคุณสมบัติและความบริสุทธิ์เป็นเช่นเดียวกัน แต่ต่างกันที่มิติและมีเส้นทางที่ต่างกันออกไป เปรียบได้กับจักรวาลวิทยาว่าด้วยการเกิดของจักรวาลที่เป็นขามาหลังบิ๊กแบง กับ จักรวาลที่เป็นขากลับหลังบิ๊กครันซ์ (ซึ่งความเห็นยังไม่ยุติระหว่างจักรวาลปิดหรือจักรวาลเปิด) แต่ไม่ว่าจะเป็นบิ๊กครันช์ของจักรวาลปิด หรือจุดกลางของหลุมดำของจักรวาลเปิด ต่างก็มีแต่การเกิดๆ ดับๆ ที่ไม่สิ้นสุดในวิชาจักรวาลวิทยาใหม่ ที่ก็ไม่ได้ต่างกันกับจักรวาลในทาง </div><div align="justify"><br />ศาสตร์ ความเป็นขามาและขากลับไป ของวิวัตตา – สังวิวัตตา ตลอดไป...<br />สุดท้ายนี้ของหนังสือเล่มนี้ และ สุดท้ายในอดีตกาล ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไป ได้ตรัสคำสอนวาจาเป็นครั้งสุดท้ายแก่มนุษย์ในโลกนี้ไว้ พระองค์ได้ตรัสว่า...</span></div><div align="center"><br /><span style="font-family:arial;"><strong><span style="font-size:180%;color:#33ccff;">“สังขารทั้งหลายทั้งปวงมีความสิ้นไป และเสื่อมไปเป็นธรรมดา”<br />“ท่านทั้งหลายจงทำความรอดพ้น ให้บริบูรณ์ถึงที่สุด”<br />“ด้วยความไม่ประมาทเถิด”</span></strong> </span></div><div align="left"><br /><span style="font-family:arial;"><br /><em><strong><span style="color:#3366ff;">The End… (จบ)...<br />Big Bang In My Mind<br />Siriphong P.</span></strong></em></span></div>mydjphonghttp://www.blogger.com/profile/15428374273627551148noreply@blogger.com0