Tuesday, August 7, 2007

บิ๊กแบงของจักรวาลภายใน (บิ๊กแบงภายในใจ)


ไม่ทราบว่ามีผู้อ่านสังเกตและมองเห็นบ้างหรือไม่ สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อนข้างฉับพลันหากว่าเราจะไม่ใช้คำว่าทันทีทันใดของจิตใจ จิตวิญญาณของมนุษย์ชาติในหลักการและในภาพรวมนั่น เป็นความคิดเห็นจากข้อสังเกต ที่ไปตรงกับนักเขียนที่เป็นนักคิดนักวิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งยุคใหม่ทุกคนกระมังที่คิดไปในทิศทางเดียวกัน แม้ว่าการใช้คำว่า “บิ๊กแบง” ในที่นี้ นำมาใช้อธิบาย ออกจะหวือหวาเกินไปบ้างก็ขออภัย เพราะนำมาใช้เพียงเป็นอุปมาอุปมัยเพื่อเน้นชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก “ภายใน” ของมวลมนุษยชาติอย่างเห็นได้ชัด ความหมายจริงๆของผู้เขียนเองแล้วนั้น คือ “นิพพาน”

นักคิดที่ศึกษาการเปลี่ยนจากภายในนี้เริ่มต้นด้วยคนจำนวนน้อยนิด ผู้ที่มีโอกาส "ตื่น" ในช่วงแรกๆ เมื่อราวๆ สามสี่ทศวรรษก่อน โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ดังที่ ฟริตจ๊อฟ แคปร้า และต่อมา การี่ ซูก๊าฟ คิดว่าเป็นเพราะการเปิดศักราชใหม่สู้ปัญญาชนชาวตะวันตก ได้มองเห็นความสอดคล้องกันระหว่างฟิสิกส์แควนตัม กับอภิปรัชญาของศาสนาที่อุบัติขึ้นมาทางตะวันออก เช่น ศาสนาพุทธ หรือ เต๋า เป็นต้น หลายคนนำความเชื่อมประสานนั้นมาสะท้อนสู่ภายในอันเป็นสาเหตุให้เกิดการ “ตื่น” ทางจิตวิญญาณ แต่ผู้เขียนคิดว่า การสะท้อนจากความรู้ความจริงใหม่ก็ดี การสะท้อนจากความล่มสลายของระบบนิเวศธรรมชาติก็ดี เรื่องการแพทย์ทางเลือกก็ดี และการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงที่ฐานของการเรียนรู้ก็ดี ทั้งหมดนี้มีสิ่งที่เป็นสากลกว่านั้น ผลักดันอยู่เบื้องหลังที่ทำให้การโผล่ปรากฏและการตื่นขึ้นมาของชาวโลกนั้นเป็นไปได้ ที่นับวันการตื่นขึ้นมาและการสืบค้นแสวงหาได้แผ่สู่ประชาโลกในวงกว้าง มีจำนวนทวีเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ที่สังเกตและมองเห็นทำให้เชื่อจริงๆว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ภายในที่ว่านั่น หรืออย่างน้อยมีการสืบค้นแสวงหาเส้นทางใหม่ หรือทางออกใหม่ให้กับตนเอง และกับส่วนรวมอย่างจริงจัง จึงอยากเห็นนักวิจัยคนอื่นๆ ลองสำรวจประชากรของโลกดูใหม่ว่าจากช่วงปี ๑๙๙๕ หรือ ๑๙๙๖ จนถึงวันนี้ จะมีจำนวนของประชากรโลกที่มีการเปลี่ยนย้ายโลกทัศน์จากภายใน ที่ พอล เรย์ เรียกว่ากลุ่มสร้างสรรค์วัฒนธรรมหรือสร้างสรรค์สังคมใหม่ ซึ่งเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาในเวลานั้น มีเพียง ๒๔ เปอร์เซ็นต์ของประชากรที่เป็นผู้ใหญ่ ว่า ณ เวลานี้และถึงตอนนี้ และอีกแปดปีต่อมาจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกเท่าไร และอยากเห็นการวิจัยที่คาดการณ์ด้วยว่า ผู้ที่เปลี่ยนแปลงหรือสามารถจะ “ตื่น” ได้ทันกับเวลานั้นจะมีจำนวนมากพอที่จะกำหนดวิถีการดำรงชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติอย่างสมภาคสมดุลและยั่งยืนได้หรือไม่ (นักวิทยาศาสตร์ระดับนำของโลกหลายคนคาดว่า โลกในสภาพทางกายภาพเช่นปัจจุบันจะมีเวลาเหลือเพียง ๒๐ - ๓๐ ปีเท่านั้น)

ว่าไปแล้วหากสังเกตสถานการณ์ และเชื่อว่าจำนวนของมนุษย์ที่มีการเปลี่ยนย้ายกระบวนทัศน์ หรือการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างมากจริง และหากเป็นเช่นนั้นกันทั้งโลก เราคงต้องมองเหตุการณ์ที่เกิดกับศูนย์การค้าโลกเมื่อวันที่ ๑๑ เดือนกันยายน ปี ๒๐๐๑ (เหตุการณ์ 9/11) กันใหม่จากอีกมุมมองหนึ่งพร้อมๆ กับมองประเด็นของความเลวร้ายของการก่อการร้ายในอีกด้านหนึ่งพร้อมกันไปด้วย คือ มองเหตุการณ์ในวันนั้นว่าเป็นผลของความล่มสลายโดยสิ้นเชิงของระบบสังคมและเศรษฐกิจโลก เช่นเดียวกับที่เรายอมรับความล่มสลายของระบบนิเวศธรรมชาติ ความล้มเหลวของระบบการศึกษา ความบกพร่องของการบริการด้านสุขภาพ และทางการแพทย์กายภาพสมัยใหม่และอื่นๆทั้งมวลของอายรธรรม เหตุการณ์ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา (9/11) จึงเป็นประหนึ่งตัวผลักดันหรือเป็นประเด็นปัจจัย “ตัวดึงดูด” ตัวใหม่ที่ดึงหรือดันให้กลไกของความโกลาหลไร้ระเบียบให้เกิดขึ้นตามทฤษฎีลูกโซ่ได้ หรือแม้แต่เหตุการณ์โศกนาฏกรรมคลื่นสึนามิเมื่อ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ เป็นอีกครั้งที่ประวัติศาสตร์โลกต้องจารึกไว้ ซึ่งมีผลกระทบให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตมนุษย์และทรัพย์สินอย่างมหาศาล ซึ่งเหตุการณ์นั้นทำให้มนุษย์เราได้เปลี่ยนย้ายกระบวนทัศน์ใหม่ของความเป็นมนุษย์เราขึ้นได้ ต่างเชื้อชาติ ต่างอายรธรรม ต่างศาสนา ได้เป็นหนึ่งเดียวกันเกิดขึ้นทั่วโลก อย่าลืมว่าในสายตาของโลกธรรมชาติที่ปราศจากการแบ่งแยกนั้น ซึ่งแน่นอนย่อมไม่ได้ให้ความสนใจต่อมนุษย์เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ที่เกิดขึ้นนั้น แม้ว่าล้วนเป็นฝีมือของมนุษย์ที่กระทำกับมนุษย์ก็ตาม แต่ผลพวงทั้งหลายได้กระทบกระทั่งทุกสรรพสิ่งในโลกในจักรวาลจนก่อความไม่สมดุล หรือห่างไกลจากสมดุลเป็นอย่างยิ่ง กลไกของทฤษฎีลูกโซ่และระบบการจัดองค์กรตนเองของธรรมชาติจึงเคลื่อนไหว ดังนั้นกระบวนการทั้งหมดจึงอาจมองได้ว่ามันเป็นเรื่องจิตจักรวาล หรือเป็นเรื่องที่ทั้งศาสนาพุทธ ฮินดู และ เต๋า บอกว่า “มันต้องเป็นไปของมันเองเช่นนั้น” ประหนึ่งว่ามันเป็นแผนโครงการ หรือเป็นแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาล ที่ พอล เดวีส์ นักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยนิวเซาธ์เวล ตั้งเป็นคำถามไว้ (Paul Davies; Cosmic Blueprint, ๑๙๘๙) ดังนั้นตัวละครทั้งหมดที่กำลังเล่นกันอยู่ในเวทีโลก ล้วนเป็นไปตามแผนการณ์นั้น

เพราะฉะนั้น ทั้งผู้นำต่างๆของประเทศนั้นๆที่ทำสงครามกันในปัจจุบันนี้ หรือแต่จะย้อนอดีตไปถึงยิวกับปาเลสไตน์สมัยก่อนก็ตามที ล้วนเป็นตัวเล่นอยู่บนเวทีโลกที่เป็นไปตามแผนโครงการนั้นๆทั้งสิ้น ความทุกข์ความขัดแย้งความเจ็บปวดและความเคียดแค้น ล้วนเป็นผลพวงของจิตที่ติดอัตตาไร้วิวัฒนาการของเรามานานเช่นนั้น ที่เมื่อถึงเวลาที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกระดับหนึ่งที่อยู่สูงกว่า เหตุการณ์ทั้งหมดจึงต้องเป็นไปของมันเช่นนั้นด้วย การสะท้อนความคิดสู่ภายในที่แน่นอน มีส่วนอย่างยิ่งต่อการก่อให้เกิดบิ๊กแบงของวิวัฒนาการของจักรวาลจากภายใน ซึ่งจะนำมาสู่ความรู้ใหม่หรือผลสะท้อนตามมาของความเจ็บปวดและความทุกข์ของชาวโลกให้ทุกคนได้ประจักษ์ด้วยตนเองพร้อมๆกัน เพื่อที่จะเอื้อให้ต่อการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณของมวลมนุษย์สามารถเกิดขึ้นมาได้เอง “มันเป็นไปของมันเช่นนั้นเอง!”

ถ้าเราลองมาพิจารณาเฉพาะหน้าและวิถีของการเคลื่อนไหวในช่วงของปัจจุบัน เราอาจพบว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวโลกทั้งหมด อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ภายในของจิตจักรวาลที่อยู่ในตัวมนุษย์เราทุกคนในครั้งนี้อย่างถี่ถ้วนก็ได้ เราหลายๆคนก็อาจจะมองเห็นเช่นเดียวกับที่ผู้เขียนสังเกต และมองเห็นก็ได้ นั่นคือ ที่มาของบทบาทมวลมนุษย์เรา ที่จะต้องเล่นการแสดงในเวทีโลกนี้ต่อไป...

ทั้งนี้ เป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กๆ ของประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติและประวัติศาสตร์ของจิตมนุษย์บนโลก ส่วนที่มาปฐมหรือเบื้องต้นของปรากฏการณ์ของโลก ว่าด้วยวิวัฒนาการของมนุษย์และวิวัฒนาการของจิตจักรวาลที่อยู่ในตัวมนุษย์นั้นหากนำมาเขียนในช่วงนี้ นอกจากจะไม่ช่วยอะไรได้แล้วยังจะเป็นประเด็นที่อันตรายต่อความรู้สึกนึกคิดของคนในบางชาติพันธุ์บางวัฒนธรรมเกินไปที่จะนำมาเขียนในช่วงเวลาที่เป็นหน้าสิ่วหน้าขวานของโลกในขณะนี้ ซึ่งที่มาปฐมที่ว่านี้คือ ประวัติศาสตร์ของมนุษย์และสังคมมนุษย์ ที่จะผูกพันกับเงื่อนไขของวิวัฒนาการทางจิตจักรวาลและทั้งยังผูกพันกับอนาคตของ “ความเป็นมนุษย์” โดยกายวิภาคศาสตร์ (physical) และอนาคตของจิตมนุษย์โดยหน้าที่

เราอาจจะว่ากันตามเนื้อผ้าได้ว่า โลกทัศน์ที่เราส่วนใหญ่ถักทอขึ้นมา เราพูดกันเองบนฐานของความเป็นมนุษย์ เราคิดเอาเองว่าเราคือเผ่าพันธุ์ที่ก้าวหน้า “พ้นความเป็นสัตว์” ไปแล้ว พูดง่ายๆ คือ เราส่วนใหญ่คิดเอาเองว่าเรายิ่งใหญ่และก้าวหน้าเหนือชีวิตอื่นใด “โลกเป็นของเรา” อัตตาร่วมของเผ่าพันธุ์ แต่หากว่าเราส่วนใหญ่ยังติดอัตตาเช่นที่ผู้นำโลกไม่กี่คนกระทำในเวลานี้นั้น เราเหล่านั้นก้าวหน้าเหนือความเป็นสัตว์จริงๆหรือไม่ นั่นคือ เราส่วนใหญ่ต้องสะท้อนความคิดและประสบการณ์ที่ได้จากทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วสู่ภายในให้ทัน เราส่วนใหญ่ต้องเปลี่ยนตัวเองให้ทัน บิ๊กแบงแห่งจักรวาลภายในต้องเกิดให้ทันกับเวลา ก่อนที่ “มันจะเป็นไปของมันเช่นนั่นเอง” ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปกว่านี้

เราจึงต้องหวนกลับไปที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ว่า ในสายตาของจักรวาล ในสายตาของโลกธรรมชาติที่ปราศจาการแบ่งแยก แน่นอนอยู่แล้วว่าความยิ่งใหญ่อัตตาของเผ่าพันธุ์ที่เราคิดเองที่ว่านั้น โลกธรรมชาติไม่เคยสนใจ โลกธรรมชาติไม่ได้คิดว่ามนุษย์อยู่เหนือสิ่งอื่นใดเป็นพิเศษเลย กระบวนการธรรมชาติมีกระบวนการเดียว คือ “ทุกสิ่งไหลเลื่อนเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน” เชื่อมโยงกันอย่างที่จะแยกจากกันไม่ได้ มนุษย์ก็เช่นนั้น มดปลวกก็เช่นนั้น ไดโนเสาร์ก็เคยเป็นเช่นนั้นก่อนการโผ่ลปรากฏกลายเป็นนกในปัจจุบัน ใครจะไปรู้ว่าต่อไปในอนาคตมนุษย์เราอาจเป็นดุจไดโนเสาร์ในอดีตที่หายไปเมื่อเปลี่ยนตัวเองไม่ทันจะโผล่ปรากฏเป็นอะไรในอนาคตหรือไม่สำหรับเรา...

0 Comments:

Please Comments

Sponsored Links

Thaifossil.com      ”ของแปลกของหายาก      Menu Domain      Thai Cosmic

Text Link Ads