Tuesday, August 7, 2007

จักรวาลที่มี บิ๊กแบงจึงเกิด


เมื่อกล่าวถึง “จักรวาล” มีประเด็นมากมายที่เราสามารถหยิบยกมาขบคิดหรืออภิปรายกันในทางปรัชญา ก่อนที่จะกำหนดประเด็นสำหรับอภิปรายขอให้เรามาตกลงกันก่อนว่า คำว่าจักรวาลหมายความเอาแค่ไหน คำว่าจักรวาลในที่นี้หมายเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นดวงดาว กลุ่มดาว กาแล็กซี่ ฝุ่นธุลี วัตถุในรูปลักษณะต่างๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียด ตลอดจนภาวะทางนามธรรมที่ไม่อาจสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไม่ว่าจะอยู่ ณ ตำแหน่งใดในอวกาศ รวมกันเข้าแล้วเราจะเรียกว่า “จักรวาล” โดยคำนิยามนี้จึงไม่มีสิ่งใดที่อยู่นอกจักรวาล โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ก็คือส่วนหนึ่งของจักรวาล มนุษย์เองก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลด้วย ดังนั้น คำว่ามนุษย์ โลก และจักรวาลจึงเป็นคำที่มีความสัมพันธ์เนื่องถึงกัน มนุษย์ไม่ได้อยู่โดยอาศัยเพียงตนเองเท่านั้น หากยังต้องอาศัยโลกเป็นสถานที่พำนัก โลกก็หาได้ลอยอยู่ในอวกาศโดยไม่มีความสัมพันธ์กับสิ่งอื่น ไม่มีจุดใดในจักรวาลนี้ที่เราสามารถชี้ลงไปว่าสามารถดำรงอยู่ได้โดยตัวมันเอง ผมเคยอ่านการศึกษาเชิงวิเคราะห์พุทธศาสนานิกายเซน ของรองศาสตราจารย์ ดร. สมภาร พรมทา ท่านกล่าวไว้น่าฟังที่ว่า “สรรพสิ่งในจักรวาลล้วนอิงอาศัยและผลักดึงซึ่งกันและกัน เมื่อกล่าวถึงจักรวาล มีปัญหาอยู่สองเรื่องที่คนพยายามขบคิดและแสวงหาคำตอบมานาน”

ปัญหาแรก คือ กำเนิดของจักรวาล มนุษย์เราเชื่อกันว่า สิ่งที่มีอยู่ทุกอย่างย่อมเป็นผลผลิตของสิ่งที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ ไม่มีสิ่งใดสามารถอุบัติขึ้นจากความว่างเปล่า ดังนั้น เราทุกคนย่อมต้องมีบรรพบุรุษ แต่บรรพบุรุษของเราจะมีไม่ได้ถ้าไม่มีโลกที่เรากำลังอาศัยอยู่นี้ โลกนี้จะมีไม่ได้ถ้าไม่มีวัตถุที่จะมารวมตัวกันกลายเป็นโลก แล้ววัตถุที่ว่านั้นมาจากไหน ปัญหานี้เป็นปัญหาที่ไม่รู้จัก เพราะไม่ว่าจะสืบสาวไปถึงสิ่งใด เราก็ยังสามารถตั้งคำถามได้ว่าสิ่งนั้นเป็นผลผลิตของอะไรได้เรื่อยไป ไม่ว่าเราจะสืบสาวหาที่มาของสิ่งใดในจักรวาลนี้เราจะพบปัญหาที่ว่านี้เสมอ

ปัญหาที่สอง คือ ปัญหาธรรมชาติของจักรวาล สรรพสิ่งในจักรวาลนี้ดำเนินไปอย่างมีทิศทาง มีกฎระเบียบหรือไม่ หากมี ใครคือผู้วางระเบียบของจักรวาล แล้วนั้นคือใครเหล่า ปัญหานี้มีคนตอบหลายอย่าง แต่คำตอบทั้งหมดนั้นไม่มีสักคำตอบเดียวที่ไม่มีทางให้คนอื่นแย้งได้ เราจะใช้ปัญหาทั้งสองนี้เป็นประเด็นในการอภิปรายทัศนะเกี่ยวกับจักรวาลดังรายละเอียดต่อไปนี้

ดูเหมือนจะเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เมื่อมีใครถามปัญหาเกี่ยวกับกำเนิดของจักรวาลขึ้นในที่ชุมนุมคน หากในจำนวนคนเหล่านั้นมีชาวพุทธร่วมอยู่ด้วย เขาจะไม่สนใจร่วมอภิปรายปัญหาที่ว่านี้เด็ดขาด เหตุผลคือปัญหาที่ว่านี้อยู่ห่างไกลตัวเราเหลือเกิน พุทธศาสนาสนใจเฉพาะเรื่องใกล้ตัว สนใจเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ในชีวิต ไม่สนใจเรื่องที่อยู่ห่างตัวหรือเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆในชีวิต หากเป็นเพียงสมมติฐานที่ตั้งขึ้นเพื่อถกเถียงเอาชนะกันในเชิงสติปัญญาเท่านั้น ความเข้าใจข้างต้นมีส่วนถูกอยู่มาก ที่ว่าถูกหมายความว่า ในฐานะที่เป็นชาวพุทธเขาย่อมต้องดำเนินชีวิตโดยยึดเอาคำสอนของพระพุทธองค์เป็นหลัก มีหลักฐานแสดงเอาไว้ชัดเจนว่าพระพุทธองค์ไม่ทรงสนใจ

อภิปรายปัญหาที่อยู่ไกลตัวมนุษย์ ปัญหาเหล่านี้ทรงพิจารณาเห็นว่า แม้เราจะทราบคำตอบ แต่เนื่องจากว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวเหลือเกิน ดังนั้น มันจึงไม่มีผลกระทบต่อตัวเรา รู้ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ชีวิตของเราก็ยังคงดำเนินไปตามปกติได้ อีกประการหนึ่ง ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาที่ไม่อาจตอบได้เด็ดขาดแน่นอนลงไป มีคนพยายามตอบหลายแง่หลายทาง แต่ทุกคนมีแง่ให้แย้งได้ทั้งสิ้นการที่ไม่ทรงร่วมอภิปรายด้วยอาจเป็นเพราะทรงพิจารณาเห็นดังที่กล่าวมานี้ก็ได้

จะอย่างไรก็ตาม อาจมีชาวพุทธบางคนเห็นว่า หากเรายอมรับว่าสรรพสิ่งในจักรวาลเนื่องสัมพันธ์ถึงกันหมด ดังนั้นเราย่อมบอกไม่ได้ที่ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเรา การพยายามค้นหาคำตอบเกี่ยวกับความลี้ลับต่างๆ ในจักรวาลอาจไม่ช่วยให้เราดับทุกข์ในชีวิตได้ แต่ปัญหาที่มนุษย์กำลังเผชิญอยู่ไม่ได้มีเพียงปัญหาการดับทุกข์ในชีวิตเท่านั้นเรายังต้องเผชิญปัญหาภายนอกตัวเราอีกมากมาย ขอให้นึกวาดภาพง่ายๆ ก็ได้ว่าหากวันหนึ่งอยู่ๆ ดวงอาทิตย์ที่เคยส่องแสงมายังโลกของเรานี้เกิดดับลง วันนั้นมนุษย์ทั้งโลกจะเลิกสนใจปัญหาที่ว่าทำอย่างไรจึงจะดับกิเลสภายในใจได้ทันที สิ่งที่เราสนใจมากที่สุดในเวลานั้น คงไม่ใช่เรื่องการดับทุกข์ หากแต่น่าจะเป็นเรื่องที่ว่าทำอย่างไรเราจึงจะไม่ตายกันทั้งโลกมากกว่า สมมติฐานที่ว่าวันหนึ่งข้างหน้าดวงอาทิตย์ต้องดับลงแน่นอนนี้อย่างน้อยที่สุดก็มีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ทฤษฎีหนึ่งสนับสนุนอยู่ หากว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ทฤษฎีนี้คาดหมายไว้ วันหนึ่งจะเป็นวันที่จักรวาลทั้งหมดตกอยู่ในภาวะหนาวเย็นและมืดสนิท ไม่มีความร้อน ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น นั่นย่อมหมายความว่า คนเราซึ่งเป็นส่วนประกอบเล็กๆ ส่วนหนึ่งของจักรวาลย่อมจะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปพร้อมกับชีวิตอื่นๆที่มีอยู่ กฎของเทอร์โมไดนามิกส์ดูจะชวนให้เราสงสัยอย่างช่วยไม่ได้ว่าจักรวาลกำลังดำเนินไปสู่จุดจบ นั่นย่อมหมายความว่า เมื่อถึงที่สุดจะไม่มีสิ่งใดในจักรวาลนี้สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เลย จะอย่างไรก็ตามอาจมีคนพูดว่า เมื่อถึงเวลานั้นพระเจ้าจะทรงชุบชีวิตให้แก่จักรวาลอีกครั้งหนึ่ง แต่การพูดเช่นนี้เป็นการพูดเพราะความศรัทธา ไม่ใช่พูดเพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุน หลักฐานทางวิทยาศาสตร์บอกเราว่าเวลานี้จักรวาลกำลังคืบคลานไปอย่างช้าๆ สู่จุดหมายอันจะส่งผลให้เกิดสภาพอันน่าหวากหวั่นต่อโลกเรานี้ ไม่เพียงเท่านั้น จักรวาลยังกำลังคืบคลานไปอย่างช้าๆ สู่จุดจบอันน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าที่กล่าวมานี้อีก นั่นคือความตายของจักรวาลทั้งจักรวาล หากนี่คือสิ่งชี้บอกว่าพระเจ้าทรงสร้างจักรวาลมาอย่างมีจุดหมาย ผมก็คงพูดได้เพียงว่า จุดหมายนี้มิได้ดึงดูดใจข้าพกระผมแม้แต่น้อย กระผมมองไม่เห็นเหตุผลที่จะเชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าในรูปแบบใด กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าในความหมายที่คลุมเครือหรือที่ถูกปรับเพื่อให้ง่ายต่อการยอมรับก็ตาม
นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าคนเรามีปัญหาภายนอกที่ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การศึกษาเชิงวิเคราะห์พุทธศาสนานิกายเซน ของรองศาสตราจารย์ ดร. สมภาร พรมทา ยังกล่าวอีกว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาของจักรวาลทั้งหมด เมื่อจักรวาลประสบภาวะใดเราในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลย่อมพลอยได้รับผลกระทบจากภาวะนั้นด้วย พิจารณาจากแง่มุมนี้ดูเหมือนจะเป็นการยากยิ่งที่จะจำแนกว่าปัญหาใดเป็นปัญหาที่อยู่ไกลตัวเราและปัญหาใดเป็นปัญหาที่อยู่ใกล้ตัว อนึ่ง ปัญหาที่ครั้งหนึ่งในอดีตมีคนคิดว่าเป็นปัญหาที่ไม่มีทางหาข้อสรุปที่แน่นอนได้ ปัจจุบันดูเหมือนจะเริ่มคนมองเห็นลู่ทางในการตอบชัดขึ้น ดังนั้น ที่เรากล่าวว่า มีปัญหาบางปัญหาที่พระพุทธเจ้าองค์ไม่ทรงตอบเพราะเป็นปัญหาที่ไม่อาจหาคำตอบที่แน่ชัดได้นั้น เรามีเหตุผลอะไรสนับสนุนความคิดที่ว่านั้น เราแน่ใจได้อย่างไรว่าปัญหาเหล่านี้ตอบไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาต้นกำเนิดของจักรวาล ในอดีตนักปรัชญาจำนวนไม่น้อยพยายามค้นหาคำตอบ ในปัจจุบันก็ยังมีนักปรัชญาจำนวนหนึ่งพยายามตอบปัญหานี้ แต่เมื่อเทียบดูความเปลี่ยนแปลงระหว่างวิธีการหาคำตอบของคนในอดีตกับคนในปัจจุบัน เราจะเห็นได้ชัดว่า แต่เดิมนักปรัชญาใช้เพียงความคิดและเหตุผลล้วนๆ เพื่อหาคำตอบ แต่ปัจจุบันนักปรัชญามีข้อมูลการค้นคว้าหาทางวิทยาศาสตร์ช่วยในการแสวงหาคำตอบ ปัญญาที่ครั้งหนึ่งเราคิดว่าตอบยากเริ่มตอบง่ายขึ้น แม้จะยังไม่อาจตอบได้แน่ชัดลงไป แต่คำตอบเท่าที่มีอยู่เวลานี้เมื่อเทียบกับคำตอบในอดีตเราจะเห็นว่ามีเหตุผลและหลักฐานสนับสนุนหนักแน่นมากขึ้น สติปัญญาของมนุษย์พัฒนาอยู่ทุกวินาที ดังนั้น เราย่อมบอกไม่ได้ว่าปัญหาที่วันนี้เราคิดว่าตอบไม่ได้คนในวันหน้าจะตอบไม่ได้เหมือนเรา เรื่องกำเนิดของจักรวาลก็เช่นกัน ข้อเสนอของนักปรัชญาในวันนี้แม้จะยังไม่ใช้ข้อยุติแต่ก็เป็นข้อเสนอที่เป็นรูปร่าง มีเหตุผลและหลักฐานสนับสนุนมากกว่าแต่ก่อน เท่าที่กล่าวมาเราคงพอมองเห็นว่า เป็นการยากที่เราจะบอกว่าปัญหาใดเราไม่มีทางตอบ เมื่อเราไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนสำหรับใช้ชี้ว่าปัญหานี้ไม่มีทางตอบ เราย่อมไม่มีสิทธิ์บอก ว่าอย่าสนใจปัญหานี้ แต่จงสนใจปัญหานั้น เพราะทุกปัญหามีฐานะเท่ากันหมด มีอาจารย์ท่านหนึ่ง ในนิกายเซนมีกระแสความคิดที่สนใจปัญหาที่ว่านี้และได้ให้คำตอบต่อปัญหาที่ว่านี้ไว้ เจ้าของความคิดที่ว่านี้ คือ ท่านฮวงโปอาจารย์เซน ในสมัยราชวงศ์ถัง ขอให้เรามารองดูข้อความต่อไปนี้กันดู

พระพุทธเจ้าทั้งปวงและสัตว์โลกทั้งสิ้นไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียงจิตหนึ่ง (One Mind) นอกจากจิตหนึ่งนี้แล้วมิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย จิตหนึ่งซึ่งเป็นที่ปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น และไม่อาจจะถูกทำลายได้เลย มันไม่ใช่เป็นของสีเขียวหรือสีเหลืองหรือขาวดำ และไม่มีทั้งรูป ปรากฏมันไม่ถูกนับรวมอยู่ในบรรดาสิ่งทั้งที่มีการตั้งอยู่และไม่มีการตั้งอยู่ มันไม่อาจจะถูกลงความเห็นว่าเป็นของใหม่หรือของเก่า มันไม่ใช่ของยาวของสั้น ของใหญ่ของเล็ก ทั้งนี้เพราะมันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัด เหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้ และเหนือการเปรียบเทียบทั้งหมดทั้งสิ้น ท่านฮวงโป มีทัศนะว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลนี้กำเนิดมาจากสิ่งที่ท่านเรียกว่าจิตหนึ่ง สิ่งต่างๆ จำนวนมากมายมหาศาลในจักรวาลนี้แม้จะแตกต่างกันอย่างไรแต่ทั้งหมดก็อาจจำแนกออกเป็นสองพวกใหญ่ๆ คือ “รูปธรรม” กับ “นามธรรม” ทั้งรูปธรรมและนามธรรมนี้มีแหล่งกำเนิดเดียวกัน คือ “จิตหนึ่ง” สรุปความง่ายๆ ว่าเมื่อครั้งที่จักรวาลนี้ยังว่างเปล่า ไม่มีดาวดวง ไม่มีสิ่งมีชีวิต ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ในภาวะนั้นมีสิ่งหนึ่งดำรงอยู่สิ่งนี้ท่านเรียกว่าจิตหนึ่ง จิตหนึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนกาลเวลา หมายความว่า เวลานั้นเริ่มต้นเมื่อมีรูปธรรมหรือนามธรรมเกิดขึ้นในจักรวาล ก่อนหน้านี้สิ่งเหล่านี้จะเกิดมี เวลาก็ไม่มี ในภาวะที่ปราศจากเวลาซึ่งจะยาวนานแค่ไหนไม่มีใครทราบนี้ ท่านฮวงโปถือว่ามีสิ่งที่เรียกว่าจิตหนึ่งดำรงอยู่แล้ว จิตหนึ่งไม่เป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรม ดังนั้น จิตหนึ่งนี้จึงไม่ใช่จิต พูดง่ายๆก็คือ เวลาที่อ่านพบคำว่าจิตหนึ่งในคัมภีร์ของท่านฮวงโป ให้เข้าใจว่าคำนี้ไม่ได้หมายถึงจิตใจที่อยู่ในตัวเรา ในทัศนะของท่านฮวงโป คนเราประกอบด้วย “กาย” กับ “จิต” กายเป็นรูปธรรม ส่วนจิตเป็นนามธรรม ทั้งกายและจิตนี้ท่านถือว่ามีต้นกำเนิดมาจากจิตหนึ่งจิตหนึ่งเป็นภาวะที่ละเอียดลึกซึ้ง เป็นภาวะที่ดำรงอยู่ก่อนที่จะมีรูปธรรมกับนามธรรมเกิดขึ้นในจักรวาล คุณสมบัติใดๆก็ตามที่เราสามารถกำหนดให้แก่รูปธรรมและนามธรรมคุณสมบัตินั้นๆทั้งหมดเราไม่อาจกำหนดให้แก่สิ่งที่เรียกว่าจิตหนึ่งนี้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า รูปธรรมกับนามธรรมเป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติ เช่น รูปธรรมเป็นสิ่งที่เราอาจสัมผัสได้ด้วยประสามสัมผัส แต่นามธรรมเป็นสิ่งที่ไม่อาจสัมผัสด้วยประสามสัมผัสหากแต่ต้องอาศัยจิตในการรับรู้เป็นต้น และคุณสมบัติเหล่านี้เราสามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดหรือภาษา แต่สิ่งที่เรียกว่าจิตหนึ่งปราศจากคุณสมบัติเหล่านี้โดยสิ้นเชิงซึ่งอธิบายได้อยาก ดังนั้นเราจึงไม่อาจอธิบายลักษณะของมันได้ด้วยคำพูด กล่าวคือ “มีมาตั้งแต่ไม่มีใครทราบ” นี่คือ การตีความสิ่งที่ท่านฮวงโปเรียกว่าจิตหนึ่งของท่าน เป็นที่น่าสังเกตว่าแนวความคิดในการอธิบายกำเนิดของจักรวาลในรูปกำหนดให้มีอะไรสักอย่างเป็นจุดเริ่มต้น แล้วให้คำนิยามจุดเริ่มต้นนั้นว่าเป็นสิ่งที่สามารถเกิดมีได้เอง ไม่มีเหตุปัจจัย เป็นสิ่งอยู่เหนือการหยั่งรู้ด้วยสติปัญญาและเหตุผล เป็นแนวทางหนึ่งที่มีคนใช้ค่อนข้างมาก ศาสนาอื่นที่เชื่อในเรื่องพระเจ้าก็มีวิธีอธิบายกำเนิดของจักรวาลในแนวเดียวกันนี้เช่นกัน

สรุปความว่า ไม่ว่าเราจะหยิบยกเอาสิ่งใดก็ตามในจักรวาลนี้ขึ้นมาสาวหาที่มาที่ไปแล้ว เมื่อสาวไปจนถึงที่สุดแล้วจะพบว่าปฐมกำเนิดของสิ่งนั้นก็คือจิตหนึ่งนั่นเอง บางท่านอาจสงสัยเพราะเหตุใดท่านฮวงโปจึงให้ความสนใจเรื่องจิตหนึ่งนี้ เรื่องนี้ไม่เห็นเกี่ยวกับการดับทุกข์เลย ตอบว่า ในทัศนะของท่านฮวงโป การที่เราทราบว่าสรรพสิ่งถือกำเนิดมาจากสิ่งเดียวกันย่อมช่วยให้เราคลายความยืดมั่นในสิ่งต่างๆได้ ความยึดมั่นของคนเรานั้นสืบเนื่องมาจากการมองสิ่งต่างๆ อย่างแยกเป็นคู่กัน มองว่านี่สวย / นั้นน่าเกลียด เมื่อมองเช่นนี้เลยเกิดความยึดมั่น กล่าวคือ ชอบสิ่งสวยงามและเกลียดสิ่งที่น่าเกลียด แต่ถ้าเรามองลึกลงไปจนพบว่าทุกสิ่งมีต้นกำเนิดเดียวกัน ความเข้าใจอันนั้นจะทำให้เราคลายความยึดมั่นลง เมื่อมองเห็นตามความเป็นจริงว่าสิ่งที่ตนเองเข้าใจว่าสวยงามแท้ที่จริงก็มีสภาวะเดียวกันกับสิ่งที่เราเข้าใจว่าน่าเกลียด บุคคลย่อมวางใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่ง นอกจากจะช่วยให้เราคลายความยึดมั่นในความเป็นคู่ของสรรพสิ่ง ความเข้าใจเรื่องจิตหนึ่งนี้ยังเป็นพื้นฐานสำคัญของการเจริญกุศลธรรมด้วย ยกตัวอย่างเช่น การเจริญเมตตา ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจว่าตัวเรากับคนอื่นเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้เด็ดขาดตราบนั้นการเจริญเมตตาจะยังไม่สำเร็จผล เราจะเมตตาคนอื่นได้อย่างเต็มที่เมื่อเรารู้สึกว่าตัวเรากับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์หรือสิ่งที่ชีวิตในรูปใดๆ แท้ที่จริงนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน เรารักและหวงแหนอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเราเท่าเทียมกันก็เพราะเรามีความรู้สึกว่าอวัยวะเหล่านี้ทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเรา เช่นกันนั้น…หากเรามีความรู้สึกว่าตัวเรากับสรรพสิ่งในจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวกันเราย่อมจะมีความระมัดระวังในการวางตัวยิ่งขึ้น เพราะหากเกิดผลกระทบต่อสิ่งอื่นซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำของเราเอง เช่น ทำความสกปรกในสวนสาธารณะ การทำลายสภาพแวดล้อม การตัดต้นไม้ทำรายป่า ผลกระทบนั้นส่วนหนึ่งก็คือ ผลกระทบที่เราทำให้แก่ตัวเองนั่นเองทั้งสิ้น ขอให้สังเกตข้อความต่อไปนี้ดู

คนธรรมดาทั่วไปทุกคนพากันปล่อยตัวไปตามความคิดปรุงแต่ง ซึ่งอาศัยปรากฏการณ์ทั้งหลายที่แวดล้อมอยู่ เพราะฉะนั้นเขาจึงเกิดความรู้สึกที่เป็นความรักและความชัง ถ้าจะขจัดปรากฏการณ์ซึ่งเป็นเครื่องแวดล้อมเหล่านั้นเสีย เธอก็เพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่งของเธอเสีย เมื่อการคิดปรุงแต่หยุดไป ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เป็นเครื่องแวดล้อม ก็กลายเป็นของว่างเปล่า เมื่อปรากฏการณ์ต่างๆกลายเป็นของว่างเปล่า ความคิดก็สิ้นสุดลง แต่ถ้าเธอพยายามขจัดสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นโดยไม่ทำให้การคิดปรุงแต่งหยุดไปเสียก่อน เธอจะไม่ประสบความสำเร็จ กลับมีแต่จะเพิ่มกำลังให้แก่สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นให้รบกวนเธอหนักขึ้น เพราะฉะนั้น สิ่งทั้งปวงก็ไม่ได้เป็นอะไรนอกจากจิต คือ จิตซึ่งสัมผัสไม่ได้ทางอายตนะ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว อะไรเล่าที่เธอหวังว่าอาจจะบรรลุได้...

0 Comments:

Please Comments

Sponsored Links

Thaifossil.com      ”ของแปลกของหายาก      Menu Domain      Thai Cosmic

Text Link Ads