Tuesday, August 7, 2007

กาลเวลาของธรรมชาติในสรรพสิ่ง(การซ้อนเหลื่อมแห่งเวลา)


ถ้าเราจะให้ความหมายของ “เวลา” (Time) นั้น มันไม่ง่ายนักที่จะจำกัดความลงไปให้แน่ชัด เวลา คือการนับอายุเวลา หรือคือการกำเนิดฤดูกาล หรือเวลาคือตารางที่ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อให้เรารู้ว่าเราจะทำอะไรบ้าง ในกิจวัตรประจำวันอย่างนั้นหรือ ก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ ตั้งแต่แรกเกิดลืมตาอ้าปากขึ้นมา เวลา ก็เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรา พอโตขึ้นมาพอจะจำอะไรกับเขาได้บ้าง เราก็ถูกสอนให้บอกเวลาจากนาฬิกา ให้บอกเวลาจากปฏิทิน วันไหน คือ วันจันทร์ วันไหน คือ วันอาทิตย์ เดือนไหนเป็นเดือนไหนก็ว่าเรื่อยไป

การนับเวลาที่ว่ามานี้เป็น “สิ่งประดิษฐ์” อย่างหนึ่งที่มนุษย์เราตั้งขึ้นมาเพื่อให้สำหรับนัดหรือวัดเวลาบนโลก ลองคิดดูง่ายๆ ถ้าพ้นจากดาวเคราะห์โลกนี้ไปแล้ว (ไปอยู่ดาวเคราะห์ดวงอื่น) เราก็คงไม่สามารถนับเวลาตามกฎเกณฑ์เดิมของเรานี้ได้ เราอาจจะพบกับเวลาที่แท้จริง ที่เรียกว่า เวลาแห่งจักรวาล (Cosmic Time) หรือเวลาแห่งเอกภพ (Universal Time) ซึ่งนั่นอาจจะเป็นธรรมชาติของเวลาที่จะต้องให้เวลาในการศึกษากันอีกมากมาย ปรากฎการณ์ลึกลับที่เกิดจาการซ้อนเหลื่อมกันของเวลาจึงเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นได้ ที่เรายังหาคำตอบไม่ได้ และมักจะคิดว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเป็นเพราะว่า เรายังไม่เข้าใจถึงธรรมชาติที่แท้จริงของ “เวลา”

โจน ฟอร์แมน (Joan Forman) ผู้เขียนสารคดีเรื่องกาลเวลาของธรรมชาตินี้ เป็นผู้หนึ่งที่สนใจถึงความลึกลับของเวลา และได้ศึกษารวบรวมเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ “การซ้อนเหลื่อมของเวลา” ไว้เป็นจำนวนมากซึ่งจะได้หยิบยกมาเป็นตัวอย่างเพียงบางเรื่องหลังจากนั้น เราจะมาวิเคราะห์กันถึงแนวทางที่มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้างบนพื้นฐานของหลักการทางวิทยาศาสตร์เท่าที่อารยชนรุ่นเราจะมีอยู่และรู้ได้ โจน ฟอร์แมน เขียนไว้ว่า การซ้อนเหลื่อมกันของเวลาอดีต กับปัจจุบัน และอนาคต นั้น เมื่อเวลาเกิดการซ้อนเลื่อมกันได้มันอาจจะซ้อนเข้าไปสู่อดีตหรือล่วงหน้าเข้าไปสู่อนาคต มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้ง 2 กรณี อนาคตที่ล่วงหน้ามาปรากฏขึ้นในปัจจุบันนั้นอาจเกิดขึ้นได้ ๒ ทาง คือ เป็นภาพที่อยู่ในความฝัน หรือไม่ก็เดินไปดีๆ แล้วก็เห็นกันเจ๋งๆเลย จนบางทีคิดว่าเป็นภาพลวงตา ภาพที่อยู่ในอนาคตแล้วมาซ้อนกันอยู่กับปัจจุบัน บางครั้งอาจจะไม่รู้สึกผิดสังเกต เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นแต่เมื่อเราไปพบเห็นเข้าสักวันหนึ่งข้างหน้า เราอาจจะรู้สึกประหลาดใจที่พอจะนึกออกว่า คลับคล้ายคลับคลาว่าเราเคยเห็นมาก่อน ท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะเคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่ไม่แน่ใจว่าเห็นมากับตาหรือในความฝัน หรือเห็นมาจากที่ไหนเมื่อไรมาก่อน

การซ้อนเหลื่อมแห่งเวลาทั้งอดีตและอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงได้ แต่เป็นความแปลกประหลาดที่ยากจะอธิบาย คนส่วนใหญ่จึงยกให้มันเป็นปรากฏการณ์ที่เหนือธรรมชาติ อย่างไรก็ตามกฎเกณฑ์ที่อยู่เหนือธรรมชาตินั้น ก็ยังคงต้องอยู่ภายใต้เหตุแห่งธรรมชาติทั้งนั้น แต่เรายังอธิบายไม่ได้หรือยังอธิบายได้ไม่ชัดเจนก็อาจจะเป็นเพราะว่าความรู้เรายังก้าวไปไม่ถึง มีใครบ้างที่จะอธิบายถึงการเกิดสุริยุปราคาได้ก่อนที่โลกจะเรียนรู้ถึงระบบการโคจรของดวงดาวในจักรวาล เมื่อโลกมืดลงเพราะเกิดสุริยุปราคาเมื่อหลายพันปีก่อนมันจึงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติที่ไม่มีคำอธิบาย แต่ปัจจุบันเราสามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำแล้ว เช่นกัน การซ้อนเหลื่อมแห่งเวลาก็จะสามารถอธิบายได้ ถ้าเราจะรู้ซึ้งถึงกฎเกณฑ์ของเวลาแห่งจักรวาลมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามในขณะที่เรากำลังคลำทางเพื่อค้นคว้าเรื่องการซ้อนเหลื่อมแห่งเวลา ข้อสังเกตหลายประการก็ได้ถูกรวบรวมขึ้นมาบ้างแล้ว เช่น

- การซ้อนเหลื่อมแห่งเวลาจะเกิดขึ้นเมื่อมีจุดกระตุ้น
- การซ้อนเหลื่อมนั้นจะเกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาสั่นๆ
- มีความรู้สึกผิดปกติเกิดขึ้นในขณะที่เวลากำลังจะซ้อนกัน
- ความรู้สึกบอกได้ว่ากำลังอยู่ในเหตุการณ์ที่แตกต่างกันใน ๒ เวลา
- เสียงจากเหตุการณ์ปัจจุบันนั้นจะหายไป
- การซ้อนเหลื่อมแห่งเวลาได้ด้วยการฝึกจิต

ใครจะยืนยันได้ว่า “เวลา” เป็นสิ่งที่ต่อเนื่องเหตุการณ์ จะต้องเกิดจากอดีต มาสู่ปัจจุบัน และไปสู่อนาคตอย่างเดียวเท่านั้นหรือ อย่าลืมว่าความรู้สึกเช่นนี้ถูกฝังแน่นอยู่ในจิตสำนึกของเรา เพราะเราคุ้นเคยกับการนับเวลาตามปฏิทินและการนับเวลาเช่นนี้เป็นเรื่องที่สมมติขึ้น หรือเรียกอีกอย่างว่า “เวลาประดิษฐ์” เป็นเครื่องมือวัดอย่างหนึ่งที่มนุษย์ฉลาดประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อวัด “เวลา” ที่เนื้อแท้ๆของมันนั้น คือ “ เวลาแห่งจักรวาล ” ซึ่งอาจจะมีเครื่องมือวัดระบบอื่นๆ ที่แตกต่างกันไปมาใช้วัดได้ ในภาวะปกติเวลาจะต่อเนื่องกันไปตามระบบการวัดของมนุษย์ แต่เมื่อมี “สิ่งผิดปกติ” เกิดขึ้น ธรรมชาติของเวลาที่แท้จริงก็จะแสดงออก เวลาจะเกิดการเหลื่อมซ้อนกัน ข้อที่น่าสังเกตว่า เมื่อเวลาเกิดเหลื่อมซ้อนกันนั้น เป็นปรากฏการณ์ที่ผิดปกติ ก็เนื่องมาจากผู้พบเห็นเหตุการณ์จะเกิดอาการผิดปกติขึ้นในร่างกาย เช่น เวียนหัว ทำนองเดียวกับบุคคลที่มีประสาทพิเศษบางคนที่จะเกิดอาการผิดปกติขึ้นก่อนหน้าที่จะเกิดแผ่นดินไหวซึ่งเป็นความผิดปกติของธรรมชาติ เช่นเดียวกันถ้าจะเทียบกับความรู้สึกของคนบางคนที่เกิดผิดปกติขึ้นมาก่อนหน้าที่ เวลาธรรมชาติอย่างหนึ่งกำลังจะผันผวนด้วยการที่มันกำลังจะซ้อนเหลื่อมกัน

สิ่งที่น่าขบคิดต่อไปก็คือว่า ถ้าอดีต ปัจจุบัน และอนาคต พร้อมอยู่แล้วที่จะปรากฏออกมา ถ้าเช่นนั้น “ข่าวสาร” ของเหตุการณ์เหล่านี้ควรจะมีอยู่แล้ว มันปรากฏอยู่ในรูปใดรูปหนึ่ง และ ณ.ที่ใดที่หนึ่งสมมุติฐานที่อาจจะยังอยู่เหนือความนึกคิดอยู่ สมมติฐานหนึ่งที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้มีการส่ง “คลื่นลึกลับ” ออกมาตลอดเวลา คลื่นนี้จะบรรจุข่าวสารเกี่ยวกับตัวมันเอง (เช่น สีสัน รูปลักษณ์ สภาวะ ฯลฯ) คลื่นลึกลับเหล่านี้มีการรับและดูดกลืน จากวัตถุอื่นและเมื่อวัตถุอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม และเมื่อสวิตช์ถูกเปิดขึ้น ข่าวสารเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดออกมาช่วงหนึ่งเข้าสู่เครื่องรับ ซึ่งเป็นสมองคน ก็อาจจะทำให้ปรากฏภาพขึ้นได้ ปัญหาก็อยู่ที่ “คลื่นลึกลับ” ที่สามารถเก็บภาพและเสียงเอาไว้ได้นี้คืออะไร แต่มันเป็นความจริงทางฟิสิกส์ที่ยอมรับกันข้อหนึ่งว่า มวลสารทุกอย่างมีการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาตลอดเวลา คลื่นแสงที่ทำให้เรารับรู้ความสดสวยของโลก หรืออาจจะเป็นความขยะแขยง คลื่นวิทยุ รังสีอุลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ ตลอดจนรังสีแกมม่า ชื่อต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นเหล่านี้ที่เคยเป็นคลื่นลึกลับมาก่อนได้ถูกทยอยค้นพบในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา แล้วใครหละจะกล้าพนันได้ว่า ในช่วงศตวรรษต่อไป “คลื่นลึกลับ” ที่ส่งภาพอดีตและอนาคตจากสรรพสิ่งในโลกออกมาจากตัวมันเองจะไม่เป็นคลื่นรายต่อไปที่ถูกค้นพบ

สาขาสำคัญหนึ่งของวิชาฟิสิกส์ที่เรียกว่า ควนตัม เมคคานิคส์ (Quantum machanics) มีส่วนสนับสนุนในเรื่องความไม่แน่นอนของเวลา โดยดูจากความไม่แน่นอนของอิเล็กตรอนในอะตอม เราไม่สามารถบอกถึงตำแหน่งแห่งหนของอะตอมที่แน่นอนได้ มันอาจจะวิ่งไปข้างหน้าหรือว่าย้อนหลังในเวลาเดียวกันได้ มันทำตัวเหมือนกับไม่ขึ้นอยู่กับเวลา อนาคตหรืออดีต อาจจะอยู่ ณ. ที่ปัจจุบันก็ได้ ความลึกลับของเวลาในโลกอิเล็กตรอนอาจจะไขความลึกลับของเวลาแห่งจักรวาลได้บ้างไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน ในวันหนึ่งข้างหน้า เป็นความจริงที่ยอมรับกันแล้วว่าสมองของคนเรานั้นมีการส่งคลื่นออกไปตลอดเวลา ด้วยลักษณะของความถี่ที่แตกต่างกัน และเมื่อมันทำตัวมันเป็นเครื่องส่งได้มันก็น่าจะเป็นเครื่องรับได้ด้วยภาพของเหตุการณ์ในอดีต หรือในอนาคตที่มาปรากฏในปัจจุบัน ไม่ว่าจะมาในรูปของการเห็นหรือจากความฝันซึ่งเราเรียกมันว่าเป็นการซ้อนเหลื่อมของเวลานั้น อาจจะเป็นการรับ “คลื่นลึกลับ” ที่เข้าสู่สมองในขณะที่สมองนั้นอยู่ในสภาวะที่เกิด “ปรับ” (Tune) ได้ตรงกับคลื่นนั้นพอดี

ถ้าเราสามารถรับรู้เหตุการณ์ในอนาคตซึ่งโดยสามัญสำนึกเราคิดว่า มันยังไม่น่าเกิดขึ้น เพราะผลของอนาคตจะต้องต่อเนื่องจากเหตุแห่งปัจจุบัน ถ้าเป็นเช่นนั้นแสดงว่าข่าวสารในอนาคตได้ถูกกำหนดไว้แล้ว รอให้เราไปพบโดยที่เราจะปล่อยมันไม่ได้เลย อย่างนั้นหรือ คำตอบก็คือ ใช่ ! อาจจะเป็นอย่างนั้น เหตุการณ์ทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้แล้ว หรือถ้าจะพูดลึกลงไปก็คือ มันได้เกิดขึ้นแล้ว ถ้าเช่นนั้นผู้อ่านบางท่านอาจจะเถียงได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรในเมื่อมัน คือ เรื่องของอนาคต คำถามที่น่าคิดสำหรับท่านก็ คือ ท่านแน่ใจแล้วหรือว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เดี๋ยวนี้ท่านเรียกว่า “ปัจจุบัน” คือ ปลายสุดของเหตุการณ์ซึ่งต่อเนื่องมาจากอดีต ปลายสุดหมายถึงว่า เหตุการณ์ในอนาคตยังไม่มี

ผู้อ่านอาจจะแน่ใจอย่างนั้นไม่ได้ เพราะนั่นคือ ความรู้สึกของเวลาที่ถูกวัดด้วยระบบของปฏิทิน นั้นคือเวลาประดิษฐ์ สมมติว่ามีการเทียบกับการวัดอีกระบบหนึ่ง คนที่อยู่ในระบบนั้นจะมองเห็นว่า ปัจจุบันที่เรากำลังดำเนินอยู่นั้นมันคือ อดีต เมื่อมองจากระบบของเขานั่นเอง ถ้าอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเป็นสิ่งที่ได้ถูกกำหนดวางไว้แล้ว เกิดขึ้นแล้ว ปรัชญาของคนโบราณเกี่ยวกับเรื่องของชะตาชีวิตที่กล่าวว่า “วิถีชีวิตของคนทุกคนได้ถูกกำหนดไว้แล้ว” สิ่งที่มันจะเกิดมันก็ต้องเกิด ก็นับได้ว่าเป็นแนวความคิดที่น่าสนใจมิใช่น้อย เรื่องที่เราคิดว่าไร้สาระ อาจจะตรงกับหลักความจริงที่ลึกซึ้งลงไปกว่านั้น สำหรับการค้นพบในวันข้างหน้า และเมื่อนั้นเราอาจจะต้องยกย่องให้ แล้วบอกว่า คนโบราณนี้คิดไกลจริงๆ

เวลาดูเหมือนว่าไหลผ่านไปอย่างเดียวกับกระแสน้ำ เราแยกสายธารแห่งเวลาออกเป็นสามสายธาร คือ อดีตกาล ปัจจุบันกาล และอนาคตกาล มีความจริงอยู่ว่า “อดีตกาลถูกสร้างขึ้นในความทรงจำ และปัจจุบันกาลมีความเป็นจริงในประสบการณ์ และอนาคตกาลล่วงหน้าอยู่ในจินตนาการ” เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ปัจจุบันกาลไม่เฉียบขาดเหมือนคมมีด ที่เราเรียกกว่า ชั่วขณะ ชั่วคราว (Sir James Jeans / The Mysterious Universe) ความจริงมันมีช่วงเวลาอยู่เหมือนกันในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ มีก่อนหลังอยู่ด้วย แต่ตามความเข้าใจของคนส่วนมากแล้วถือกันว่า ก่อนหลังพรุ่งนี้วานนี้ ล้วนแต่เป็นการกำหนดขึ้นในอุดมการณ์ประดิษฐ์ทั้งสิ้น เช่นเดียวกับอวกาศแห่งมโนภาพ เวลาแห่งมโนภาพก็ผิดเพี้ยนกับเวลาแห่งผัสสะนิดหน่อยเช่นเดียวกัน เวลาคิดเราคิดถึงเวลานามธรรม ซึ่งปัจจุบันกาล เฉียบขาดเหมือนคมมีด ไม่มีช่วงเวลา หรือช่วงเวลามีค่าเป็นศูนย์ ส่วนอดีตกาลและอนาคตกาลอาจจะยืดออกไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด การซ้อนเหลื่อมกันแห่งเวลาอาจจะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่นเดียวกับการเกิดแผ่นดินไหว สุริยุปราคา หรือภูเขาไฟระเบิด เพียงแต่เรายังไม่มีกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดมาอธิบายได้เท่านั้น ความจริงแล้วมีอยู่ในตำราคัมภีร์โบราณต่างๆ หรือตำนานต่างๆ เหมือนกันเกี่ยวกับเวลา แต่จะเรียกอีกอย่างหนึ่ง กล่าวคือ ภพชาติ การระลึกชาติได้ ดังที่มีในตำราและคำกล่าวต่างๆทางพุทธศาสนา

ในพระไตรปิฎก มีข้อความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เคยตรัสถึงการกระทำของพระองค์เอง และของคนอื่นๆว่า ได้เคยกระทำคล้ายอย่างนั้นมาแล้วในอดีต หรือที่เราเรียกในนิทานชาดกในเรื่องทศบารมีหรือทศชาติ ถึงตัวเราจะระลึกอดีตชาติไม่ได้ และไม่รู้ว่าเราสะสมอดีตชาติมาเป็นอย่างไร แต่ในพุทธศาสนาทั้งนี้ จะไม่เน้นพูดถึงเรื่องอดีตชาติหรือภพชาตินี้หรือภพหน้า แต่จะพูดถึง “เหตุและผล” ที่เป็นการสืบเนื่องเชื่อมโยงกันมา กล่าวคือ สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากอดีต เหตุจากในอดีตเป็นผลให้เราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ และเช่นกัน เหตุที่เรากระทำลงไปในปัจจุบันนี้ ก็จะเป็นผลให้เกิดขึ้นในอนาคตเราด้วย คนส่วนใหญ่ไม่ได้ฉุดคิดในข้อนี้ปล่อยกระแสการกระทำของเราให้เป็นไปตามกาลเวลา และอารมณ์ความรู้สึกของตัวตนเราในขณะนั้นไป... สิ่งที่เป็นจริงซึ่งเรียกว่าสิ่งธรรมชาติ จะต้องอยู่ภายใต้อวกาศและเวลา เกิดขึ้นและดับลงโดยมีสาเหตุ และเกิดผลตามมา จึงเกิดทรรศนะที่เรียกว่า “ธรรมชาตินิยม” ขึ้นมา ดังจะกล่าวต่อไป

0 Comments:

Please Comments

Sponsored Links

Thaifossil.com      ”ของแปลกของหายาก      Menu Domain      Thai Cosmic

Text Link Ads