Tuesday, August 7, 2007

ทางเดินของชีวิตเพื่อกำเนิดบิ๊กแบงภายในใจ


ชีวิตคนเรานั้น แท้จริงคือ การเดินทางชนิดหนึ่ง ซึ่งเดินจาก ความเต็มไปด้วยความทุกข์ ไปยังที่สุดจบสิ้นของความทุกข์ ที่ตนเคยผ่านมาแล้ว นั่นเอง ไม่รู้ว่า ผู้นั้นจะทราบหรือไม่ทราบ รู้สึกหรือไม่รู้สึก ชีวิตก็ยังคงเป็นการเดินทาง เรื่อยอยู่นั่นเอง เมื่อเดินไปทั้งไม่ทราบ ก็ย่อมมีความระหกระเหินบอบช้ำเป็นธรรมดา การเดินทางของชีวิตนี้ มิใช่เป็น การเดินทางด้วยเท้าหรือรูปกายตัวเรา แต่เป็นการ “เดินทางชีวิตด้วยจิต” ในฐานะที่เป็นทางของจิต อันจะวิวัฒน์ไปในทางสูง ซึ่งจะไปได้สูงกว่าทางวัตถุหรือทางกาย อย่างที่จะเทียบกันไม่ได้เลย

สิ่งที่เรียกกันว่าทางๆนั้น แม้จะมีสายเดียวก็จริง ตามธรรดาต้องประกอบอยู่ด้วยองค์คุณหลายประการ เสมอ การเดินทางด้วยกาย ทางไกลแรมเดือนสายหนึ่งจะต้องประกอบด้วย ร่มเงา ที่พักอาศัยระหว่างทาง การหาอาหารในระหว่างทาง ฯลฯ ดังนี้เป็นต้น และเช่นกัน ทางชีวิตด้วยจิต แม้จะสายเดียวที่ดิ่งไปสู่ “บิ๊กแบงภายในใจ” ก็จริง แต่ก็ต้องประกอบไปด้วย องค์คุณหลายประการเช่นกัน คือ

ศาสนา เป็นองค์คุณอันสำคัญ โดยช่วยให้ชีวิตนี้ มีสิ่งยึดเหนียวและศรัทธาในการเดินทาง มีความสดชื่น เยือกเย็น พอที่จะเป็นอยู่เช่นเดียวกับน้ำ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงพฤกษาชาติให้สดชื่นงอกงามตลอดเวลา ฉันใดฉันนั้น

ปรัชญา เป็นองค์คุณอีกอย่างที่ช่วยให้เกิดอุดมคติอันมีกำลังแรง ในการที่จะกระตุ้น ให้ปฏิบัติ ตามศาสนา หรือ หน้าที่อื่นๆ ทำให้เกิด ความเชื่อ ความเพียร และคุณธรรมอื่นๆ ที่เป็นตัวกำลังสำคัญด้วยกันทั้งนั้น อย่างมากพอ ที่จะไม่เกิด การท้อถอย หรือโลเล หรือหันหลังกลับ
โดยสรุปก็คือ ช่วยให้มีความเป็นนักปราชญ์ หรือมีปัญญา เป็นเครื่องดำเนินชีวิตตน ไปจนบรรลุถึงปลายทางที่ตนประสงค์ “บิ๊กแบงภายในใจ”

จริงอยู่ที่ว่าวิทยาศาสตร์ ช่วยให้เราเป็นผู้รู้จักเหตุผล ให้รู้จักใช้เหตุผล และให้อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผล เพื่อให้ชีวิตนี้ไม่หลับหูหลับตาเดินไปอย่างโง่เง่างมงาย ซึ่งจะทำให้เดินไม่ถึงหรือถึงช้าและไม่ได้รับผลเป็นที่พอใจ หรือถ้าจะพูดในแนวศิลปะทางเดินของชีวิตก็ได้ว่า คือ ศิลปะแห่งการครองชีวิต หรือการบังคับตัวเองได้ ช่วยให้ชีวิตนี้ ดูแจ่มใสงดงาม น่าชื่นใจ น่ารักใคร่ นำมาซึ่งความเพลิดเพลินในการก้าวหน้าไปด้วยความรู้ และการกระทำที่ดูงาม ทั้งในเบื้องต้นท่ามกลางและเบื้องปลายด้วย

ท่าน พุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวสอนไว้ว่า “ทางเดินของชีวิตด้วยจิตจะต้องมีภูมิธรรม” กล่าวคือ ธรรมสมบัติ หรือ ความดี ความจริง ความยุติธรรม ที่ประกอบ อยู่ที่เนื้อที่ตัวช่วยเหลือให้เกิด บุคคลิกลักษณะอันนำมาซึ่งความน่าเลื่อมใส ความไว้วางใจ ความน่าคบหาสมาคมจากชีวิตรอบข้าง ทำให้ชีวิตนั้นตั้งอยู่ในฐานะเป็นปูชนียบุคคล เป็นที่พึ่งแก่ตนเองได้ และเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของชีวิตทั้งหลาย ความรู้เป็นส่วนหนึ่งช่วยให้มีความสามารถในการที่จะใช้ความคิด และการวินิจฉัย สิ่งต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง ในการตัดสินใจ การค้นคว้าทดลอง การแก้ไขอุปสรรค และอื่นๆ ในอันที่จะให้เกิดผลในการครองชีพ การสมาคมและอื่นๆ ที่จำเป็นทุกประการโดยสมบูรณ์ จึงจะเกิดสติปัญญา และสติปัญญาก็ช่วยให้เกิดสมรรถภาพ หรือปฏิภาณในการดำเนินงานของชีวิต ให้สำเร็จ ลุล่วงไปได้ ตามแนว ของความรู้ ทำให้งานของชีวิตทุกชนิดทุกระดับ ดำเนินไปได้โดยง่ายโดยเร็วโดยสมบูรณ์และปลอดภัย โดยประการทั้งปวง

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้รวมกันเป็น “ทางสายเดียว” เป็นทางสายชีวิตที่จะช่วยให้ชีวิตของเราดำเนินไปได้อย่างเป็นที่พอใจมาก จนถึงกับท่าน พุทธทาสภิกขุ อยากจะยืนยันแก่เพื่อนร่วมสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหลายว่า จงลองเดินทางสายนี้ดู ผลในโลกนี้ก็คือ ทรัพย์ ชื่อเสียง และมิตรภาพก็ตาม ผลในโลกหน้าคือ สุคติก็ตาม และผลอันสูงสุดพันจากโลกทั้งปวง คือ นิพพาน (บิ๊กแบงภายในใจ) ก็ตาม จักเป็นที่หวังได้ครบถ้วนโดยไม่ต้องสงสัย

โลกทุกวันนี้ มากไปด้วย ขวากหนาม อันเป็นอันตรายมาก ยิ่งขึ้นเพียงใด ชีวิตนี้ ก็ยิ่งต้องเพียบพร้อม ไปด้วยคุณธรรม และสมรรถภาพอันจะเป็นเครื่องป้องกัน และแก้ไขอันตรายนั้นๆมากขึ้นเพียงนั้น เพราะฉะนั้น อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องมีหนทางอันประกอบไปด้วย ทางไปของชีวิต ในด้านจิต หรือ วิญญาณ ของเขาผู้นั้น จึงจะก้าวไปด้วยดี คู่กันไปได้ กับการก้าวหน้าในทางวัตถุ หรือทางกายของโลกแห่งสมัยนี้ อันกำลังก้าวไป อย่างมากมาย จนเกินพอดีหรือผิดส่วน ไม่สมประกอบ จนทำให้โลกระส่ำระสายเป็นประจำวันอยู่แล้ว ทางชีวิตแห่งสมัยนี้โลดโผนโยกโคลงขรุขระ ขึ้นๆลงๆ ยิ่งกว่าสมัยเก่าก่อน เกินกว่าที่จะดำเนินไปได้ง่ายๆ โดยการใช้วิธีการที่ง่ายๆสั้นๆ เหมือนที่แล้วมา ความสับสนวุ่นวาย การหลงผิดไปกับการบริโภคนิยมในยุคปัจจุบันนี้ เป็นการเดินทางของใจที่หลงผิด เป็นสิ่งที่หลายคนปฏิบัติไปตามกัน และคิดเสมอว่านั้นเป็นทางที่ดีสำหรับเรา เป็นทางที่เราจะได้อยู่เหนือผู้อื่น และมีอำนาจเพรียงแค่บริโภคเท่านั้น ดังนั้นท่าน พุทธทาสภิกขุ จึงกล่าวไว้ให้แง่คิดอย่างน่าฟังที่ว่า

“โลกทุกวันนี้ มีอะไรๆ มากเกินไปในทางที่จะผูกพันชีวิตนี้ให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งที่บีบคั้น เผาลน เผลอไปเพียงนิดเดียว ก็จักลื่นไถลลงไปในกองเพลิงชนิดที่ยากที่จะถอนตัวออกมาได้ และถึงกับตายอยู่ในกองเพลิงนั้นเป็นที่สุด เพราะเหตุนั้น จึงเป็นการสมควรหรือจำเป็นสำหรับชีวิตทุกชีวิตที่จะต้องแสวงหาทาง และมีทางของตน อันถูกต้อง ปลอดภัย เพื่อก้าวหน้าไปสู่ความสะอาด หมดจด สว่างไสว และสงบเย็น สมตามความปรารถนา ไม่เสียทีที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อที่จะเรียนรู้ชีวิตนี้ซักครั้งอันยิ่งใหญ่ ที่จะเปลี่ยนตัวเราเองไปตลอดกาล”

0 Comments:

Please Comments

Sponsored Links

Thaifossil.com      ”ของแปลกของหายาก      Menu Domain      Thai Cosmic

Text Link Ads